Archive for the ‘ภาษาไทย-Thai’ Category

อัลเลาะห์เป็นหนึ่งเดียวหรือ?

Thursday, October 23rd, 2014

มุมมองของอัลเลาะห์ที่เป็นหนึ่งเดียวไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากอิธิพลของชาวอาหรับเนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นพวกที่นับถือพระหลายองค์ ข้าพเจ้าพบว่าเป็นเรื่องแปลกที่วัฒนธรรมอาหรับที่ปรับตัวเข้ากับมุมมองของการนับถือพระองค์เดียวของวัฒนธรรมต่างชาติที่มีรากฐานความเชื่อและอิธิพลจากทั้งยิวและคริสตชน พื้นฐานสำหรับอิสลามมีรากฐานจากความมีสติ ความั่นใจ และ การประกาศความเชื่อต่างชาติ ทำไมพระเป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพและสูงสุดผู้ที่เป็นกษัตริย์เหนือจักรวาลเป็นผู้ให้กำเนิดความจริงแก่ผู้ใดก็ตามที่ในที่สุดได้กล่าวยืนยันว่าเป็นผู้รับข่าวสารนี้ (ชาวมุสลิม) ถ้าไม่ใช่เพราะมันเพียงมาจากแหล่งอื่นที่มีการเปลี่ยนแปลง ผิดหลง และ เสื่อมสลาย ใช่ไหม? ใครยืมความจริงจากใครกันแน่? ใครมีอิธิพลต่อใครกันในเรื่องนี้? มันเป็นไปได้ที่จะมีการหยิบและเลือกมุมมองของศาสนาที่เข้ากับมุมมองส่วนบุคคลต่อโลกของอิสลามเพื่อนำมาใช้เพื่อครอบครองว่าเป็นอัตลักษณ์ของตนเอง? มีศาสนามากมายที่อาจจะก่อเกิดการเผยแสดงใหม่ เพียงแต่การศึกษาเกี่ยวกับพยานของเยโฮวาและมอร์มอนผู้ที่มีประสบการณ์คล้าย ๆ กับของอิสลาม โยเซฟ สมิทก็เหมือนกับมูฮัมหมัดที่แสวงหาความจริงและเขาเองได้รับการเปิดเผยเป็นการส่วนตัวผ่านเทวดา แน่นอนการมาเยี่ยมของเทวดาของโยเซฟ สมิทก็มีข่าวสารที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวและการตีความก็แตกต่างอย่างมากจากการเปิดเผยของเทวดาที่ให้กับมูฮัมหมัด ดังนั้นใครเล่าที่ถูกต้อง? โยเซฟ สมิทที่มีชื่อเสียงเป็นผู้ที่มีชื่อเป็นผู้ที่มีลัทธิศาสนาที่เติบโตเร็วและใหญ่ที่สุดในระดับโลก หรือ เช่นเดียวกับอิสลาม ที่เป็นศาสนาที่เติบโตเร็วที่สุดมีผู้ติดตามกว่า 1 พันล้านคน

เปาโลอัครสาวกเตือนเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนที่อิสลามจะก่อกำเนิดขึ้นและก่อนที่โยเซฟ สมิทจะเกิดมาด้วยซ้ำ และที่ท่านระบุไว้ในจดหมายถึงชาวกาลาเทียน 1:8 ที่แม้แต่เทวดาลงมาจากสวรรค์จะมาเทศน์พระวรสารอื่นใดนอกเหนือจากที่เราได้สอนพวกท่าน ขอให้พวกเขาได้ถูกลงโทษไปชั่วนิรันดร

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

Is Allah One?

การตรึงกางเขนของพระเยซูคริสต์และอิสลาม

Wednesday, October 22nd, 2014

เมื่อเรากล่าวถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู สิ่งนี้ไม่เป็นเพียงเรื่องที่ขัดแย้งกันในความแตกต่างระหว่างพระคัมภีร์ไบเบิ้ลและคัมภีร์อัลกุรอานเท่านั้น แต่มันยังเป็นเรื่องของการที่นำไปพิจารณาในแหล่งข้อมูลทุติยภูมิอื่น ๆ อีกทั้งหมดซึ่งมีลักษณะธรรมชาติในทางโลกและใครที่ไม่ว่าจะรายงานบนพื้นฐานทางประวัติศาสตร์หรือในมุมมองที่เป็นปรปักษ์ เมื่อสาธยายเกี่ยวกับการตรึงกางเขนของพระเยซูและดังนั้นพวกเขาจะไม่เห็นด้วยกับคำสั่งสอนของคริสตชน แหล่งข้อมูลเหล่านี้รวมถึงบทความที่ร่วมสมัย เช่น มารา บาร์-เซราปีออน , ทัลมัด ยิว, ทัลลัส , คอร์เนลีอุส, ทาซิตัส และ ฟลาวิอุส โจเซฟุส ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ประพันธ์ทั้งชาวโรมันและชาวยิว

เช่นเดียวกัน การตรึงกางเขนไม่ได้เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ยากลำบากและสำหรับศัตรูของพระคริสต์ สิ่งนี้ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญที่มีการระบุตัวผิดไปในขณะที่พวกเขาก็ได้นำศพของพระคริสต์ไปโดยตลอดและถึงขั้นที่ให้มีการเฝ้ายามกันที่หลุมศพ พวกเขาไม่ได้ห่วงถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์แต่พวกเขาห่วงกังวลถึงการกล่าวอ้างถึงการกลับเป็นขึ้นมาจากความตายและการที่ศพจะถูกขโมยไปมากกว่า

จากมุมมองของพันธสัญญาใหม่มันคงเป็นเรื่องที่ซับซ้อนสำหรับสถานการณ์นี้ที่จะเป็นเรื่องหลอกลวงไปได้ ในเมื่อสิ่งนี้ที่ไม่เพียงแต่จะเกี่ยวพันกับเรื่องหลักเท่านั้นแต่เกี่ยวพันกับทุก ๆ สิ่งที่นำไปสู่การตรึงกางเขนตลอดเรื่อยมาจนถึงปรากฎมาซึ่งการกลับคืนพระชมน์ของพระคริสต์

ที่จริงแล้วการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูไม่ได้เริ่มต้นที่กางเขนแต่มันได้เริ่มต้นจากการเฆี่ยนและนั่นเกิดขึ้นหลังจากการไต่สวนจากทั้งฝ่ายโรมันและชาวยิว ดังนั้นระหว่างเวลาทั้งหมดนี้พวกเขาได้เผชิญหน้ากับพระคริสต์อย่างใกล้ชิดซึ่งทำให้ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับความเป็นตัวตนของพระองค์

ชีวิตและภารกิจของพระคริสต์ได้มีประจักษ์พยานจากหลาย ๆ คนก่อนหน้าที่จะถูกประหารชีวิตและมีคนทุกประเภทที่เป็นตัวแทนมาปรากฎอยู่ในการแขวนนี้ ซึ่งรวมถึงทหารโรมัน ศาสนจารย์ยิว และผู้ที่ติดตามของพระเยซูบางทีแม้แต่จอห์นอัครสาวกด้วย

ยังมีคนที่มาพูดคุยกับพระเยซูระหว่างการไต่สวนและการตรึงกางเขนซึ่งคงเป็นเรื่องที่ยากมากหรือเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการหลอกหลวงอย่างใหญ่หลวงในการมาตบตาของทุกคนที่รู้จักพระองค์อย่างใกล้ชิด มากกว่านั้นมันคงเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติของพระเป็นเจ้าที่จะทรงโกหกโดยปิดบังความจริงบางอย่างโดยการสร้างเรื่องหลอกลวงผิด ๆ มาเป่าหูผู้คนให้ตกลงไปในกลลวงหรือหลอกให้คิดไปว่ายูดาสคนนั้นคือพระเยซู

เช่นกันคำพูดต่าง ๆ ในระหว่างการไต่สวนและการตรึงกางเขนก็ไม่เข้ากับที่ของยูดาส ดังที่คนคนนี้อ้างว่าเป็นพระแมสซีอาห์ บุคคลคนนี้ยังได้ใช้คำพูดเช่น “วันนี้ ท่านจะอยู่กับเราในเมืองสวรรค์” หรือ “โปรดยกโทษแก่พวกเขาเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรไป” และ “เหตุฉะไหน พระเป็นเจ้าได้ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้า” ถ้อยคำเหล่านี้เกิดจากฝ่ายที่บริสุทธิ์ไม่ใช่คนที่จะละทิ้งหรือทรยศไป

พวกเราก็เช่นกัน ต่างเข้าใจว่ามีหลักฐานทางกายภาพหลังจากการกลับเป็นขึ้นมาซึ่งพระเยซูได้เปิดเผยให้เห็นถึงบาดแผลของพระองค์และดังนั้นข้อพิสูจน์ที่หนักแน่นทั้งหมดที่จะบอกว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิดนั้นต่างไม่เข้ากันกับประจักษ์พยานของวรรณกรรมในพันธสัญญาใหม่จากหลักฐานจากแหล่งข้อมูลภายนอกที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงเช่นกัน แม้แต่พันธสัญญาเก่าที่ร่วมกันกับความคิดหลักนี้ และ สามารถพิจารณาว่าเป็นข้อความที่สนับสนุนซึ่งไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขโดยคริสตชนดังที่ชาวยิวได้ปกป้องข้อเขียนต่าง ๆ เหล่านี้ก่อนที่คริสตศาสนาจะมาถึง น่าประหลาดใจเมื่อฆราวาสชาวยิวจะไม่มีความสงสัยใด ๆ เมื่อได้ยินถึงพระคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาเก่าเป็นครั้งแรกเช่นในอิสยาห์บทที่ 52:13-53:12 และบทสดุดีบทที่ 22 บางครั้งพวกเขาสร้างกลุ่มเคลื่อนไหวระหว่างการตรึงกางเขนของพระเยซูและผู้รับใช้ที่ทนทรมาน ณ จุดนี้พวกเขาบ่อยครั้งจะต่อต้านและอนุมานว่าท่านได้อ่านบางอย่างไปจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของคริสตชนโดยไม่ได้ตระหนักว่าบทความเหล่านี้ก็มาโดยตรงจากคัมภีร์ของพวกเขาเอง ไม่เพียงแต่ว่าที่สิ่งเหล่านี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับการเฆี่ยนและการตรึงกางเขนของพระองค์เท่านั้น ซึ่งไม่สามารถนำมาหลอกลวงได้เป็นพิเศษเมื่อสิ่งนี้ที่ทำให้มีการตรึงกางเขนซึ่งไม่ได้แม้แต่พัฒนาขึ้นมาจนกระทั่งพระวาจาเหล่านี้ได้มีการกล่าวทำนายมาก่อนล่วงหน้า อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าส่งลิงค์ให้ท่านซึ่งเป็นข้อความทางพระคัมภีร์เป็นภาษาอังกฤษเพื่อท่านสามารถนำไปอ้างอิงได้

Psalms

Isaiah

สุดท้ายนี้ แม้คนที่มีความสงสัยในทุกวันนี้ที่อาจจะนำมาโต้แย้งในบางแง่คิดของข้อความทางพระคัมภีร์แต่การตรึงกางเขนก็เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปและบางทีมีคนที่น่าจะคิดได้ในบางครั้งว่าพระองค์สมควรที่ได้รับผลที่ตามมานี้เป็นดังการปฏิวัติ

ในที่สุดข้อความของพระเยซูก่อนพระทรมานของพระองค์ก็ได้รับการยืนยันเช่นกัน การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ซึ่งพระองค์ได้บอกถึงความตายของพระองค์ที่ใกล้เข้ามาก่อนที่มันจะสำเร็จไปแม้แต่ความอับอายและความประหลาดใจของสาวกผู้ที่ได้ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นมานี้ เหตุผลที่พวกเขาได้มีความคาดหวังเหล่านี้ในตอนแรกคือเนื่องจากว่าชาวยิวในสมัยนั้นอยู่ภายใต้การกดขี่จาก กฎหมายจากต่างชาติและสำหรับพวกเขาแล้วพระแมสซีอาห์เป็นดังผู้ที่มาปลดปล่อยพวกเขามากกว่าพระองค์ผู้ที่ต้องรับความตายอย่างโหดร้าย ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้สาวกได้วาดภาพตนเองไม่ได้เลยเนื่องจากความคิดเห็นของพระคริสต์เกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์และแรงจูงใจสำหรับพวกเขาคือการสร้างเรื่องราวซึ่งวาดภาพวีรบุรุษของพวกเขาที่ตายในมือของศัตรูหรือ? จากมุมมองแบบมนุษย์สิ่งนี้เหมือนกับเป็นรูปแบบของความอ่อนแอและความพ่ายแพ้มากกว่าจะเป็นชัยชนะสำหรับพระแมสซีอาห์ของพวกเขา มันอาจจะปรากฎเป็นสิ่งที่ดีกว่าพวกเขาถ้าจะไปตามความเข้าใจของคัมภีร์อัลกุรอานและให้พระเยซูจากไปโดยไม่ได้รับบาดเจ็บและปรากฎมาอีกครั้งในปลายยุคเพื่อฟื้นฟูทุกสิ่งทุกอย่าง

โดยแก่นแท้แล้ว พวกเขาไม่ได้มีการมองการณ์ไกลในการถอดความหมายของข้อความในพันธสัญญาเดิมและแม้แต่ในทุกวันนี้ประชาชนชาวยิวก็ตามืดบอดต่อคำต่าง ๆ เหล่านี้แม้ว่าคนยิวหลาย ๆ คนก็ได้มาสู่ความเชื่อผ่านทางพระคัมภีร์ซึ่งข้าพเจ้าได้อ้างอิงถึง

การเข้าใจถึงปัญหาหลังจากที่เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้วของสิ่งนี้ มันเป็นสิ่งที่ชัดเจนมากขึ้นที่จะเห็นสิ่งต่าง ๆ ทั้งปวงหลังจากข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับใจความสำคัญของความทรมาน/ความตายว่ามันเข้ากับแผนการณ์ของพระเป็นเจ้าจากพระประสงค์นิรันดร์ของพระเป็นเจ้าและดังนั้นจึงเป็นการลบล้างรูปแบบใด ๆ ของการตีความที่เปล่าประโยชน์หรือไม่มีความหมายไป

ถ้าหากท่านทำแบบสำรวจเกี่ยวกับการสั่งสอนทางพระคัมภีร์ในเรื่องนี้ ท่านก็ต้องวางตนเองเข้าไปในปริบทของมุมมองทางพระคัมภีร์ในเรื่องของการไถ่บาปซึ่งได้เกิดขึ้นก่อนรากฐานของจุดสุดยอดของโลกพร้อมด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์จนไปถึงการกลับเป็นขึ้นมาและการเสด็จสู่สวรรค์ สิ่งนี้เป็นดังคำที่กำหนดว่าเป็นดังด้ายสีแดงของการไถ่กู้ซึ่งถักทอตัวมันเองในผืนผ้าแห่งประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับระบบการบูชาไถ่บาป

ธรรมชาติของระบบการไถ่บาปเป็นการผสมผสานระหว่างความยุติธรรมและความเมตตาของพระเป็นเจ้าซึ่งบาปและความผิดที่เกี่ยวข้องกัน กฎในพิธีกรรมนี้ได้จัดสรรให้ผู้ที่ทำลายสัญญาในเรื่องนี้ที่ผู้ทำผิดได้รับการอนุญาตให้จัดหาค่าไถ่ในรูปแบบของการบูชาของถวายหรือสัตวบูชา ในหนังสือเลวีนิติกล่าวว่าหากปราศจากการหลั่งโลหิตก็ไม่มีการอภัยบาป ดังนั้นสัตว์นี้ที่นำมาถวายเป็นดังของถวายที่บริสุทธิ์และชดเชยที่เลือดของชีวิตนั้นได้แลกเปลี่ยนในนามของฝ่ายที่ทำผิดและการแลกเปลี่ยนชีวิตต่อชีวิต

ในเรื่องราวทั้งหมดนี้ที่เป็นการจัดขั้นตอนที่หนังสือของชาวฮีบรูในพันธสัญญาใหม่ที่กล่าวถึงพระคริสต์ซึ่งเป็นเงาของพันธสัญญาเก่าที่เสร็จสมบูรณ์ในการเป็นลูกแกะของพระเป็นเจ้าผู้ที่ได้บูชาเพียงครั้งเดียวและทุกคนที่ทำงานของพระองค์ครบถ้วนก็จะได้ผลในการให้เราได้กลับคืนดีกับพระเป็นเจ้าและนำสันติมาสู่พวกเรา

เหตุผลที่พระคริสต์มายังโลกก็เพื่อเป็นตัวแทนมนุษยชาติและเนื่องจากพระองค์เป็นผู้ที่ปราศจากบาป พระองค์อาจจะทำเพียงแต่สิ่งที่ท่านและข้าพเจ้าไม่สามารถทำได้ในฐานะที่เป็นบูชาที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาโดยที่พระองค์ยินดีรับเอาโทษของบาปซึ่งโดยแท้จริงแล้วเป็นของเรา ในการเปรียบเทียบความชอบธรรมของพระคริสต์ เรามาสรุปว่าเราทุกคนต่างกระทำบาปและดังนั้นถ้าเราเปรียบเทียบกันเองระหว่างเรากับคนอื่นแต่ละคนแล้วนั้นบางทีเราอาจจะมีที่ยืนอยู่บ้างแต่ถ้าเราเทียบตัวเรากับพระเป็นเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์และชอบธรรมแล้วนั้นความเชื่อมั่นเช่นนี้ก็แตกสลายไปโดยง่าย เราไม่ได้แยกแยะระหว่างผลแอ๊บเปิ้ลต่าง ๆ ที่นี้ในเมื่อเราตัดสินในระหว่างตัวเราเองและคนอื่น ๆ และดังนั้นในขณะที่เรายืนอยู่ต่อหน้าพระบัลลังก์พิพากษาของพระเป็นเจ้าเราจะต้องตระหนักอย่างถ่อมตนว่าเราเป็นสิ่งสร้างของพระเป็นเจ้าและเหมือนกับต้นไม้เลวที่เราผลิตความเน่าเปื่อยจากผลไม้ที่เน่านั้น พระเป็นเจ้าเป็นผู้ประพันธ์ และผู้ที่ทำให้สรรพสิ่งสมบูรณ์ไปและสิ่งใดก็ตามที่ด้อยกว่านั้นย่อมเป็นการทำลายคุณลักษณะของพระองค์ ดังนั้นการรับประกันชนิดใดที่ใครในพวกเรามีต่อพระพักตร์พระเป็นเจ้าเมื่อเรามีแต่เพียงความชอบธรรมที่ไม่เพียงพอของเราเล่า? เราถูกปล่อยให้เปลือยเปล่าและแสดงต่อพระองค์และไม่ว่าความคิดหรือการกระทำใดที่ได้เผยออกมาและดังนั้นมันจึงไม่ประหลาดใจเลยว่าสติปัญญาของเราจะประนามตัวเราเองเมื่อเราพลาดที่จะดำเนินชีวิตไปตามกฎศีลธรรมขั้นพื้นฐานนั้น

นั่นคือทำไมที่เราต้องการพระผู้ไถ่ ก็เพราะว่าเราไม่สามารถช่วยตนเองจากพระยุติธรรมของพระเป็นเจ้าซึ่งเรียกร้องความสมบูรณ์และยังที่พระเป็นเจ้าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้ให้คำพรรณนาถึงพระองค์ว่าเป็นพระเป็นเจ้าแห่งความรักและความรักนี้ได้ขยายมายังพวกเราโดยการจัดหาให้สำหรับบาปของเราจากความเมตตาของพระองค์

พระเป็นเจ้าไม่ได้อยู่ภายใต้การถูกบังคับใด ๆ เช่นกันเพื่อทำสิ่งนี้ พระองค์เพียงแต่ให้เรารับทรมานจากพระพิโรธและการตัดสินของพระองค์อย่างสมบูรณ์ก็ได้ อย่างไรก็ตามข่าวดีคือเราไม่เพียงแต่ได้รับการไถ่ให้รอดโดยพระเป็นเจ้าเท่านั้นแต่เรายังได้รับการช่วยจากพระเป็นเจ้าโดยผ่าน ชีวิต การสิ้นพระชนม์และต่อมาคือการกลับคืนชีพของพระคริสต์ พระเป็นเจ้าทรงจัดหาการแก้ไขที่เราอาจจะต้องพินาศในการถูกตัดสินลงโทษแต่ตอนนี้แทนที่จะถูกขจัดไปจากพระเป็นเจ้า เราสามารถมีความมั่นใจและยังได้รับประกันว่าเมื่อเราผ่านจากชีวิตนี้ไปยังชีวิตหน้าเราจะไม่ต้องถูกทิ้งให้อยู่ในการพนันโดยการทอยลูกเต๋าแห่งนิรันดรภาพ

บางทีทุก ๆ เรื่องราวแห่งความรัก ความเมตตา และการเสียสละนี้ไม่ได้ทำให้ท่านเข้าใจและอาจเป็นเพราะท่านประหลาดใจถึงการที่พระเป็นเจ้าสามารถอนุญาตให้สิ่งที่ไม่เท่าเทียมกันนี้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันที่เราเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์และผู้ทำชั่วต่อต่อการกระทำที่นองเลือดนี้และยังปราศจากการให้อภัยนี้แล้ว ใครในพวกเราเล่าจะรอดไปได้?

พระคัมภีร์ไบเบิ้ลยังได้สนับสนุนความคิดอุตรภาพของพระเป็นเจ้าที่มันอธิบายความคิดของพระองค์นั้นไม่เป็นไปในแบบของเราหรือในวิถีทางแบบของเราแต่เป็นแบบของพระองค์ เราใช้เหตุผลแตกต่างไปที่เราคิดว่าพระเป็นเจ้าไม่ควรทำแบบนี้และนั่นเป็นพระราชอำนาจของพระองค์และปราศจากสิ่งนี้ยังจะมีความหวังอะไรที่เรามีอยู่? สิ่งนี้ยังไม่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งหรือประนีประนอมต่อลักษณะและธรรมชาติของพระองค์ในฐานะที่พระองค์เป็นผู้นำความยุติธรรมโดยการรับเอางานแห่งความรอดของพระคริสต์เป็นค่าชดเชยสำหรับบาปของพวกเรา พระเยซูมีสิทธิ์ในการมอบชีวิตของพระองค์และรับมันกลับคืนมา พระองค์ยินดีสูญเสียชีวิตของพระองค์เพื่อแกะของพระองค์และแม้แต่เราที่ครั้งหนึ่งเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเราและสิ่งที่ตามมานั่นคือทำไมมันจึงเรียกว่าเป็นดังพระคุณพระเป็นเจ้า

เมื่อท่านไตร่ตรองทุกอย่างนี้ เราไม่สามารถแม้แต่จะเข้าใจการตอบรับชนิดนี้และสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดก็เพียงแต่เชื่อมโยงไปยังความรักอันเสียสละของพ่อแม่หรือของสามีภรรยาแต่ความสมบูรณ์ที่มากกว่าคือพระเป็นเจ้าผู้ทรงสร้างสิ่งสร้างที่ไม่สมบูรณ์แบบเหล่านี้และดังนั้นข้าพเจ้าก็พึงพอใจที่จะทราบว่าความรักอันหาขอบเขตมิได้ของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่กว่าความรักของสิ่งสร้างที่จำกัดเป็นล้นพ้น สหายของข้าพเจ้า พระเป็นเจ้าไม่ได้สร้างชีวิตเพื่อเป็นดังเชื้อเพลิงสำหรับไฟในนรกและพระคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่ามันได้รับการจัดเตรียมแต่แรกเริ่มสำหรับปิศาจและลูกสมุนของมันและเรายังจะหลบหนีไปจากคำพิพากษาเช่นนั้นได้อย่างไรถ้าเราละเลยต่อการกระทำที่ทรงให้โดยเปล่าของพระคุณนี้โดยการปฏิเสธต่อแหล่งแห่งความรอดที่ทรงจัดหามาให้?

โดยความเคารพ การท้าทายของข้าพเจ้าต่อท่านคือท่านจะทำอย่างไรกับความผิดของท่านเล่า? ท่านเคยประหลาดใจหรือพิจารณาว่าท่านได้ทำกิจการดีเพียงพอหรือสมควรได้ไปสวรรค์ไหม? ท่านสามารถรู้อย่างแน่ชัดรึเปล่าว่าชีวิตของท่านเป็นที่ยอมรับจริง ๆ ต่ออัลเลาะห์?

ในการสรุปถึงความรักของพระเป็นเจ้าที่ไม่ทรงทอดทิ้งหรือปล่อยให้เราปราศจากความช่วยเหลือหรือหมดหวังเนื่องจากพระองค์ทรงประทานความรักของพระองค์โดยส่งพระเยซูมายังเราผู้ที่เรามอบความไว้วางใจของเราสำหรับชีวิตนิรันดร

ท้ายที่สุด พระเยซูส่งคำเชิญแก่ท่าน พระองค์ผู้ซึ่งรับแบกแอกในการปลดปล่อยเราจากหนี้การละเมิดและนำเราไปจากความเคร่งครัดจากความคาดหวังในศาสนาโดยผ่านความรู้และความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์

มธ 11:28-30
28’ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน 29จงรับเอาแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน จิตใจของท่านจะได้รับการพักผ่อน 30เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา’

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

Crucifixion of Jesus Christ and Islam

มุมมองของอิสลามที่ว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเสื่อมลง

Wednesday, October 22nd, 2014

ความจำเป็นที่จะมีการตรวจสอบความถูกต้องของวรรณกรรมของพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในความคิดและความกังวลของชาวคริสต์เช่นกันและข้าพเจ้าได้เขียนบทความก่อนหน้านี้มาสองเรื่องที่ลงไปเกี่ยวกับหัวข้อนี้ อันหนึ่งคือจากจุดยืนทางวรรณกรรมและอีกอันหนึ่งคือจากมุมมองทางประวัติศาสตร์ซึ่งข้าพเจ้าได้ใช้แหล่งข้อมูลทุติยภูมิ (นอกเหนือจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล) เพื่อพิสูจน์การยืนยันนี้

jesusandjews.com/wordpress/2010/02/03/is-the-bible-reliable/
jesusandjews.com/wordpress/2014/01/19/does-archaeology-disprove-the-bible/

เพิ่มเติมจากจุดอื่น ๆ ที่ข้าพเจ้าได้ลงไว้ในบล๊อกเหล่านั้น ข้าพเจ้าคิดว่ายังมีปัจจัยอีกสองสามอย่างที่ควรนำมาพิจารณาต่อคำถามถึงบูรณภาพของพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเช่น การเตือนจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเมื่อพระเป็นเจ้าจะลงมาพิพากษาใครก็ตามที่ทำลายหรือเปลี่ยนพระวาจาของพระเจ้า หรือต่อคำศักดิ์สิทธิ์นี้ , เฉลยธรรมบัญญัติ 4:2, วิวรณ์ 22:18 , จากความจริงที่ว่ามีสิ่งที่ต่อต้านศีลธรรมของคริสตศาสนาเพื่อหลอกลวง พูดเท็จ หรือเป็นพยานเท็จ ดังนั้นการพิจารณาถึงการกระทำของใครบางคนจากมุมมองทางจิตวิทยาและทางด้านจิตวิญญาณมันเป็นสิ่งที่คิดไม่ได้ว่าใครบางคนผู้ที่มีความเชื่อศรัทธาที่แท้จริงนั้นจะกล้าเปลี่ยนคำเหล่านั้นไปได้

ทฤษฎีสมคบคิดทั้งหมดนี้ขาดความน่าเชื่อถือในอีกแง่หนึ่งเช่นกันคือมันไม่เข้าท่าเลยสำหรับใครก็ตามที่จะเปลี่ยนหรือลบคำต่าง ๆ ออกที่ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งในตัวมันเองซึ่งจะทำให้ถ้อยคำในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลดูไม่เป็นที่น่าพอใจหรือน่าสงสัย

เช่นกันในสองกลุ่มศาสนาที่แตกต่างกันคือศาสนายิว ซึ่งเป็นดังผู้ปกป้องพันธสัญญาเดิมหรือทานัค และชาวต่างศาสนาอื่น ๆ ที่เป็นดังผู้ที่ครอบครองหนังสือพันธสัญญาใหม่ที่มีอิทธิพลเหนือกว่า การเปลี่ยนแปลงของพระคัมภีร์ของพวกเขาทั้งสอง ดูเหมือนกว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย โดยเฉพาะที่พวกเขาต่างได้ร่วมแบ่งปันข้อความอันเดียวกันหรือใช้ร่วมกันมา แม้แต่การค้นพบม้วนหนังสือที่ทะเลตายที่กุมรันซึ่งระบุวันไว้ในข้อความที่เก่าแก่สุดของมาโซเรทิคประมาณ 1000 ปี ก็แสดงถึงบูรณภาพของพระคัมภีร์

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเข้าใจว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกลุ่มที่ต่อต้านต่อการอ้างถึงความเสื่อมของพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเช่นนั้น มิฉะนั้นพวกเขาก็คงไม่อาจจะดำรงอยู่ในฐานะคู่แข่งขันในมุมมองทางโลก และดังนั้นมันดูเหมือนว่าจะมีความเป็นเหตุและผลที่จะมีแรงจูงใจในการมองสิ่งนี้อย่างมีอคติต่อข้อมูลทางพระคัมภีร์ที่ชักจูงไปเพื่อพิสูจน์ว่ามันผิดมากกว่าถูกต้อง หลังจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดซึ่งดูเหมือนว่าเป็นที่ชัดเจนเมื่อมีการถามพวกเขาว่าใครทำให้พระคัมภีร์เสื่อมสลายลง เมื่อใดที่มีการเปลี่ยนแปลง และสิ่งใดที่เปลี่ยนไปจริง ๆ มาถึงจุดนี้เราไม่ได้รับคำตอบที่เหมาะสมอย่างไรกลับมาต่อคำกล่าวหาเหล่านี้ทั้งหมดซึ่งขาดหลักฐานที่เพียงพอในการตอบคำถามสามประการเหล่านี้เลย

ข้าพเจ้าไม่แม้แต่ที่จะคิดเลยว่ามีกรณีใดที่ชัดเจนจาก คัมภีร์อัลกุอาน ในการปฏิเสธพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่ามันได้รับการยืนยันเป็นดังพระวาจาของพระเป็นเจ้าใน ซูเราะห์ 2:87, 3:3, 4:163, 5:46-47, 5:68, 10:94.

มากกว่านั้น คัมภีร์อัลกุอาน ดูเหมือนว่าจะแสดงว่า พระวาจาของพระเป็นเจ้าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ 6:114-115, 6:34, 10:64.

ดังนั้นคัมภีร์อัลกุอาน ที่ระบุว่าพระวรสาร , โตราห์ และ บทสดุดี เป็น “พระวาจาของพระเป็นเจ้า” ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่ามิตรสหายมุสลิมของข้าพเจ้าว่าพวกเขาไม่มีข้อถกเถียงที่ถูกต้องจากหนังสืออันศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งของพวกเขาเพื่อมาสงสัยต่อพระคัมภีร์ไบเบิ้ล มากกว่านั้นการกล่าวว่า พระวาจาของพระเป็นเจ้า ในฐานะที่ได้รับการเปิดเผยในหนังสือโตราห์ บทสดุดี และ พระวรสารได้ถูกเปลี่ยนแปลงก็เท่ากับมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นกับคัมภีร์อัลกุอาน เช่นเดียวกันด้วย ถ้าหากว่ามันเป็นพระวาจาของพระเป็นเจ้าจริง ๆ

การอนุมานของคัมภีร์อัลกุอาน ต่อการที่พระวาจาของพระเป็นเจ้าที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้นั้นจริงแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีเหตุผลเพียงพอจากที่ว่าพระเป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพมีอำนาจสูงสุดจะไม่ทรงสามารถที่จะรักษาพระวาจาของพระองค์ได้ ตลอดเวลาได้กระนั้นเชียวหรือ?

ที่สุด ถ้าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นถูกต้องตามที่คัมภีร์อัลกุอานได้ยืนยัน ในช่วงเวลาของมูฮัมหมัดแล้วนั้น สิ่งนี้ก็จะก่อให้เกิดปัญหาสำหรับมุสลิมที่กล่าวหาว่ามันได้มีการเปลี่ยนแปลงในขณะที่มีการรวบรวมหลักฐานทางพระคัมภีร์ตามคำกล่าวของปิตาจารย์ในศาสนจักรในยุคเริ่มแรกที่ระบุวันเวลาที่อิสลามได้ยืนยันความถูกต้องของพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่เรามีอยู่ทุกวันนี้แสดงว่ามันก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในเวลานับพันปี ดังนั้นจากมุมมองของมุสลิมที่กล่าวว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเสื่อมลงนั้นจึงเป็นการปฏิเสธต่อคำสั่งสอนทางการของมูฮัมหมัดซึ่งเป็นการขัดแย้งต่อการกล่าวอ้างของคัมภีร์อัลกุลอานซึ่งสนับสนุนการการดลใจการรักษาและความชอบธรรมของพระคัมภีร์ของคริสตชน

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

An Islamic view that the Bible has been corrupted

 

 

Permission granted by David Woods for excerpts taken from the article on “ Muhammad and the Messiah” in the Christian Research Journal Vol.35/No.5/2012

พระนาม อัลเลาะห์ ไม่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์

Wednesday, October 22nd, 2014

พระนามของพระเป็นเจ้าในศาสนาอิสลามคือ อัลเลาะห์ พระนามนี้ผันมาจากความเป็นไปได้ต่าง ๆ ที่หลากหลายยี่สิบอย่างกว่าจะมาเป็นพระนามนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ลี้ลับในพระนามนั้นเอง พระนามนี้ปรากฎอยู่ก่อนยุคอิสลามที่ ใช้กับนามของพระในศาสนาอื่น ๆ ที่ชาวอาหรับ ให้ความเคารพบูชา ดังนั้นจึงมีการใช้พระนามอัลเลาะห์ ที่มีมาก่อนที่มูฮัมหมัดจะได้รับการเผยแสดงจากพระเป็นเจ้า

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

Allah’s Name is not Sacred

มุสลิมที่มีความสุขและรักสันโดษ

Wednesday, October 22nd, 2014

ข้าพเจ้าได้คุยกับหลาย ๆ คนที่มีภูมิหลังจากหลากหลายศาสนาที่พวกเขาเริ่มต้นโดยมีความสุขและได้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่พวกเขาทำเช่นกัน ดังนั้นบุคคลหนึ่งที่สามารถมีความสุขแต่กระนั้นก็อาจจะทำผิดโดยสุจริตเนื่องจากศาสนาที่แตกต่างกันเหล่านี้สามารถผิดพลาดได้แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกว่ามันถูกต้องแล้วก็ตาม

โดยส่วนตัวแล้ว ข้าพเจ้าไม่สามารถจะมีความสุขได้ในฐานะที่เป็นมุสลิมคนหนึ่งที่ไม่เคยที่จะรู้จริง ๆ ว่าข้าพเจ้าได้กระทำหรือเป็นคนดีเพียงพอในการนำไปสู่สวรรค์ จากการท่องข้อความเชื่ออย่างศรัทธา การสวดห้าครั้งต่อวัน การบริจาคทาน การถือศีลอดอาหารในระหว่างเดือนรอมฎอน และถ้ายังสามารถจาริกแสวงบุญไปยังกรุงเมกกะได้ สิ่งนี้ต้องเป็นที่ลำบากใจสำหรับมุสลิมบางท่านที่เห็นว่าการเป็นพลีชีวิตของพวกจีฮัดที่ดูเหมือนว่าเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่แท้จริงประการเดียวต่อความตึงเครียดนั้นซึ่งดูเหมือนว่ามันเป็นวิธีการที่น่าหดหู่และมองโลกในแง่ร้ายต่อความศรัทธาและชีวิต

จากมุมมองของพระคัมภีร์ ความรอดไปสู่สวรรค์เช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากบุญกุศลและการอุทิศตนส่วนบุคคลเลย เพราะไม่มีผู้ใดที่ไม่มีบาปและเนื่องจากสิ่งนี้

ข้าพเจ้าไม่สามารถไว้วางใจต่อคุณงามความดีของตนเองได้ ซึ่งอาจจะดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ดีในสายตาของข้าพเจ้าเอง แต่มันนำความโกรธกริ้วต่อสายพระเนตรของพระเป็นเจ้า ในขอบเขตที่จำกัดของเรา พวกเราไม่สามารถที่จะเข้าใจทุกอย่างได้ หรือ วัดตนเองอย่างหมดสิ้น และเมื่อเทียบกับการวัดจากสวรรค์แล้ว เรานั้นไร้ค่าเมื่อเทียบกับพระเป็นเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นความรอดไม่ได้มาจากการที่เราไว้วางใจในตนเองหรือผลงานของเราหรือกิจกรรมต่าง ๆ แต่มันเป็นเพียงการได้รับมาจากตัวบุคคลและภารกิจที่จัดสรรให้จากพระคริสต์เป็นดังของประทานอันเมตตาแก่เราเท่านั้น

โรมัน 3:23
23  เหตุว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากสง่าราศีของพระเป็นเจ้า

โรมัน 6:23
23 เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานของพระเป็นเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

มธ. 11:28-29 พระเยซูตรัสว่า
28 จงมาหาเรา ทุกท่านที่ทำงานหนักและแบกภาระหนัก และเราจะให้ท่านพักผ่อน 29 จากรับแบกแอกของท่าน และเรียนรู้จากเรา เพราะเราอ่อนหวานและสุภาพ และท่านจะพบสันติในใจของท่าน

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

A happy and content Muslim

 

 

Permission granted by David Woods for excerpts taken from the article on “ Muhammad and the Messiah” in the Christian Research Journal Vol.35/No.5/2012

ทำไมคุณถึงเป็นมุสลิม

Friday, January 18th, 2013

ทำไมคุณถึงเป็นมุสลิม คุณเคยพิจารณาไตร่ตรองกับคำถามนี้อย่างจริงจังหรือไม่ คุณเป็นเพราะคุณค้นพบความหมายที่แท้จริงด้วยตัวเองหรือได้รับการเปิดเผยบางประการหรือการมีจิตหยั่งรู้ในชีวิต คุณเป็นเพราะคุณถูกดึงให้เข้าร่วมศาสนาอิสลามตั้งแต่เกิดเนื่องมาจากความใกล้ชิดบางประการและสัมพันธภาพส่วนตัวกับพระเจ้าใช่หรือไม่

คุณเป็นมุสลิมเพราะนั่นคือสิ่งที่วัฒนธรรมและสังคมของคุณกำหนดให้คุณเป็นใช่ไหม ลองคิดดูว่าถ้าหากคุณเกิดและเติบโตในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งจะถูกพิจารณาว่าเป็นสายพานแห่งพระคัมภีร์ ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้คุณคิดอย่างไรต่อโอกาสของคุณในการที่จะยอมรับและเชื่อศรัทธาในศาสนาอิสลาม

คุณเป็นมุสลิมเพราะคุณไม่มีเสรีภาพในการเลือกและปฏิบัติมิฉะนั้นแล้วคุณอาจจะต้องเสียทุกอย่าง ใช่หรือไม่ลองจินตนาการอีกสักครั้งว่าคุณเกิดในสังคมประชาธิปไตยที่ซึ่งให้สิทธิเสรีภาพทางด้านศาสนาแก่คุณ คุณจะยังคงเป็นมุสลิมอยู่หรือไม่

คุณเป็นมุสลิมเพราะว่าเป็นสิ่งที่ครอบครัวของคุณคาดหวังจากคุณและเพราะพวกเขาเป็นคนที่กำหนดโลกทัศน์และค่านิยมของคุณใช่หรือไม่ แล้วถ้าคุณเป็นสมาชิกอยู่ในครอบครัวที่ยินยอมให้คุณตัดสินใจเลือกด้วยตัวคุณเองว่าจะเชื่อและยอมรับอย่างเต็มที่โดยไม่คำนึงว่าคุณจะอยู่ในสถานะใด

คุณเป็นมุสลิมเพราะนั่นเป็นสิ่งที่ทุก ๆ คนกำลังเป็นอยู่ แล้วถ้าคุณได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ยินยอมให้มีความเชื่อที่หลากหลายได้ วัฒนธรรมนี้จะยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้คุณไปยึดถือศาสนาอิสลามหรือไม่

คุณปฏิบัติตามศาสนาอิสลามเพราะเจ้าหน้าที่หน่วยงานทางด้านศาสนาบอกให้คุณทำและได้เล่าเรียนผ่านทางระบบการศึกษาว่าศาสนาอิสลามเท่านั้นที่เป็นศาสนาที่แท้จริงใช่หรือไม่ ลองนึกดูว่าถ้าเกิดในประเทศที่ไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า ประเทศซึ่งมีปรัชญาแตกต่างโดยสิ้นเชิงต่อชีวิตที่ไร้พระเจ้า คุณจะยังคงเป็นมุสลิมอยู่หรือไม่

คุณเป็นมุสลิมเพราะความกลัวที่ไม่ได้เป็นมุสลิมหรือผลสะท้อนกลับจากการไม่ยอมรับความเชื่อหรือศรัทธานี้ แต่ถ้าคุณไม่ต้องเผชิญกับความกลัวหรือสิ่งกีดขวางเหล่านี้เล่า

เป็นไปได้หรือไม่ที่ศาสนาอิสลามถูกมองว่าเป็นการปฏิบัติที่กำหนดระดับขั้นจากแหล่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์

เป็นไปได้หรือไม่ว่าคน ๆ หนึ่งสามารถถูกหลอมรวมเข้ากับระบบของศาสนาได้มากจนกระทั่งกลายเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้หากจะทำให้หลุดพ้นจากการครอบงำนั้น

เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเชื่อเพียงในสิ่งที่พวกเราถูกบอกให้เชื่อด้วยความสามารถทางปัญญาแห่งศรัทธาอย่างมืดบอดซึ่งไม่สามารถถามคำถามได้

คน ๆ หนึ่งสามารถกลายเป็นผู้ที่เก็บตัวอยู่ในวัฒนธรรมมากจนกระทั่งเขาไม่สามารถรับวัฒนธรรมภายนอก

อื่น ๆ ได้เลยใช่หรือไม่

ศาสนาสามารถเป็นหนทางของการควบคุมและบงการผู้คนเพื่อให้ประสบผลสำเร็จทางการเมืองใช่หรือไม่

ศาสนาควรเป็นเหตุให้คุณเสียความรู้สึกความเป็นเอกลักษณ์แห่งตนใช่หรือไม่

คุณสามารถบอกตัวเองอย่างจริงใจได้หรือไม่ว่าหลังจากคิดตามบันทึกบนเว็บไซต์นี้แล้วนั้นคุณจะยังคงมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในการยอมรับความศรัทธาในศาสนาหรือว่าคุณยังคงมีข้อสงสัยอยู่ ถ้าหากคุณยังคงมั่นใจในความเชื่อของคุณ ถ้างั้นคุณสามารถเป็นมุสลิมได้ก็เพราะแค่ว่ามีความภาคภูมิใจอันแข็งแกร่ง ซึ่งไม่ยินยอมให้คุณผิดพลาดได้ใช่หรือไม่ แล้วหากคุณมีความมั่นใจมากเกินไปสามารถเป็นเหตุให้คุณถูกหลอกลวงได้หรือไม่

ดังนั้นอะไรกันแน่คือแรงจูงใจที่แท้จริงในการเป็นมุสลิม มันคือเรื่องจริงของสาระความจริงหรือมันถูกกำหนดไว้อย่างแยบยลโดยวัฒนธรรมความเชื่อกันแน่

การเติบใหญ่ของศาสนาอิสลามมาจากการได้ชัยชนะโดยใช้อำนาจทางการทหารและการคลอดบุตร สิ่งนี้เป็นแนวทางที่ถูกทำนองคลองธรรมและจริงใจสู่ศรัทธาเช่นนั้นหรือ

อย่างไรก็ตามยังคงมีเหล่าบรรดามุสลิมที่ยังคงมีข้อสงสัยต่อศาสนาอิสลามและได้แยกเป็นอิสระออกจากความยึดมั่นอย่างแรงกล้าได้อย่างปาฏิหารย์มาสู่ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าได้รวมลิงค์ลงในบันทึกบนเว็บไซต์ของข้าพเจ้าซึ่งมีคำสาบานตนของบรรดาผู้ที่เคยเป็นมุสลิมมาก่อนซึ่งได้ค้นพบหนทางแก้ปัญหาอื่นต่อข้อสงสัยและความกลัวของพวกเขา

ท้ายนี้ข้าพเจ้าต้องการชักชวนให้ท่านลองอ่านคำสาบานตนเหล่านี้และร้องขอให้พระเจ้าเปิดเผยพระเยซูต่อคุณในหนทางแห่งความไว้วางใจที่คุณมีให้ต่อพระองค์ในฐานะพระเจ้าและผู้ไถ่บาป อย่าปล่อยให้ความกลัวทำให้คุณไม่ได้ทำสิ่งนี้ คิดสิ่งนั้น อย่างใดก็ตามสิ่งนี้จะทำให้คุณอยู่ห่างออกไปจากสวรรค์ที่ซึ่งไม่รับการประกันว่าคุณจะได้เข้าไปอยู่หรือไม่

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

jesusandjews.com/wordpress/2009/06/14/why-are-you-a-muslim-2/

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

Friday, January 18th, 2013

สี่กฏด้านจิตวิญญาณ

 

ภาพยนตร์เกี่ยวกับพระเยซู

 

พันธสัญญาใหม่ / พระคัมภีร์ไบเบิล

 

พระคัมภีร์เสียง

คัมภีร์อัลกุรอานศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่

Friday, January 18th, 2013

เมื่อพิจารณาดูถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์อุลกรกาน พวกเราคงต้องวิเคราะห์คัมภีร์นี้เหมือนกับงานประพันธ์ชิ้นอื่น ๆ เพื่อรับรองการกล่าวอ้างว่าเป็นของจริงแท้ดั้งเดิม

ในศาสนาอิสลามคัมภีร์อัลกุรอานถือได้ว่าเป็นของสูงซึ่งทำให้มีความใกล้ชิดกันระหว่างวัตถุเทวรูปบูชากับเหล่าบรรดาผู้ปฏิบัติตามศรัทธาทั้งหลาย

อนึ่งศาสนาอิสลามนี้ได้กล่าวอ้างถึงแรงบันดาลใจของศาสนาที่นอกเหนือไปจากหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรในพระคัมภีร์

เมื่อข้าพเจ้าได้ศึกษาเกี่ยวกับนิกายมอร์มอน ข้าพเจ้าเห็นความคล้ายคลึงบางอย่างกับคตินิยมของศาสนาอิสลาม

มอร์มอนเชื่อในเรื่องจารึกสวรรค์ซึ่งถูกคัดลอกไว้บนแผ่นจารึกทองคำ โดยมีเทพบุตรได้บอกให้รู้ถึงสถานที่ตั้งของแผ่นจารึกทองคำและแนะนำให้แปลแผ่นจารึกทองคำนั้น

โจเซฟ สมิธมุ่งมั่นที่คาดหวังว่าจะได้พบกับความศรัทธาเพียงหนึ่งเดียวและสิ่งนี้นำพาให้เขาได้เผชิญหน้ากับหลายสิ่งหลายอย่างและการเปิดเผยความจริงของพระเจ้าด้วย ซึ่งก็มีความคล้ายคลึงกัน

ถึงแม้ว่าการเปิดเผยหล่านี้ “พระคัมภีร์มอร์มอน” จะ เหมือนกับคัมภีร์อัลกุรอานแต่ก็ยังถือได้ว่ามีความเป็นเอกสารที่สมบูรณ์น้อยกว่า

มุสลิมอาจจะอ้างว่าคัมภีร์อัลกุรอานนั้นเป็นงานประพันธ์ที่สละสลวยและสมบูรณ์ที่สุดตามหลักศาสนาอิสลามรับรองว่าเป็นแรงบันดาลใจจากพระเจ้า ซึ่งเป็นความหมายของหลักฐานภายใน

กระนั้นยังคงมีจุดที่โจเซฟ สมิธได้โยงถึงคัมภีร์มอร์มอนที่เขาได้เคยกล่าวไว้ว่าเป็นหนังสือที่สมบูรณ์ที่สุดในบรรดาหนังสืออื่นที่เคยเขียนขึ้นมา

อย่างไรก็ตามคัมภีร์ทั้งสองเล่มมีการกล่าวอ้างในเรื่องการเป็นต้นกำเนิดศาสนาอย่างสั้น ๆ โดยขาดความสละสลวยในความสมบูรณ์แบบตามที่ทั้งสองศาสนาได้อ้างว่าได้รับมา การอ้างสิทธิและการกระทำเป็นสองสิ่งที่แตกต่างและต้องสามารถพิสูจน์ได้หรืออย่างน้อยต้องมีหลักฐานที่มีเหตุผลหรือน่าเชื่อถือได้เพื่อใช้สนับสนุนพื้นฐานสำหรับความจริง

เริ่มแรกคัมภีร์อัลกุรอานมาจากแหล่งข้อมูลที่บอกว่าเกิดจากผู้ก่อตั้งเพียงคนเดียวซึ่งเป็นคนที่มีคุณลักษณะที่น่าสงสัย

จากบทเริ่มต้นของการเปิดเผยนี้ พระนบีมูฮัมหมัดเคยสงสัยในเรื่องความปกติทางจิตใจของเขาเพราะเขาไม่รู้ว่าเขาเป็นคนบ้าหรือเป็นศาสดาพยากรณ์กันแน่ เขาตั้งคำถามกับตัวเองว่ากำลังถูกปีศาจร้ายเข้าสิงอยู่และทำให้เห็นสิ่งเร้นลับซึ่งเชื่อมโยงขาให้ได้รับรู้การเปิดเผยเหล่านี้ ด้วยพฤติกรรมแปลก ๆ เช่นมีฟองที่ปากหรือคำรามเหมือนอูฐ อีกคำถามหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสดาพยากรณ์ก็คือทำไมพระอัลเลาะห์เลือกผู้ไม่รู้หนังสือให้สื่อสารความจริงที่อ่านออกเขียนได้ซึ่งมันไม่ทำให้เขาต้องรวบรวมเรียบเรียงไปตลอดชีวิตเลยหรือ

แต่อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้อภิปรายเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติมไว้ที่นี่

นบีมูฮัมหมัดเป็นศาสดาพยากรณ์เทียมใช่หรือไม่

ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ควรไตร่ตรองเกี่ยวกับคัมภีร์อัลกุรอานก็คือความเป็นคัมภีร์ต้นฉบับ คัมภีร์อัลกุรอานถือได้ว่าเป็นการยืมงานเขียนมาจากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ ซึ่งแหล่งข้อมูลเหล่านี้เป็นพระคัมภีร์และคำสอนนอกศาสนา

ต่าง ๆ เช่น คำบรรยายมโนทัศน์ตามแนวคิดของพวกศานายูดายและต่อมาปรับใช้ในศาสนาคริสต์ซึ่งเป็นพวกนอกรีตทางศาสนา เนื่องจากพวกนี้ไม่เคยพิสูจน์ทราบถึงแรงบันดาลใจแห่งพระเจ้า การเขียนตามมโนทัศน์เหล่านี้เชื่อมโยงเป็นรอยต่อของทั้งวัฒนธรรมยิวและคริสเตียนซึ่งไม่เคยรับเข้ามาใช้อย่างจริงจัง

ควบคู่ไปกับงานประพันธ์นี้ ยังมีอิทธิพลจากเรื่องเล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับศาสนาโซโรอัสเตอร์ของชาวเปอร์เซียซึ่งได้ถูกรวมไว้ในการจดบันทึกคัมภีร์อัลกุรอานด้วย

ดังนั้นพระอัลเลาะห์ได้ยืมจารึกสวรรค์ของเขามาจากความเข้าใจผิดของผู้ส่งสารบนโลกมนุษย์และวัฒนธรรมของมนุษย์ได้อย่างไร

การที่ใครสักคนสามารถสร้างมนุษย์แห่งจินตนาการได้สำเร็จแต่กลับถูกคัดค้านโดยสังคมที่เกิดมาจากงานวรรณกรรมที่ไม่สมบูรณ์ อะไรกันแน่คือความสมบูรณ์แบบหรือปาฏิหาริย์

ถ้าอิสลามเป็นศาสนาที่ดีที่สุดแล้ว ทำไมถึงไม่เกิดขึ้นมาจากแหล่งข้อมูลของตัวเองแทนที่จะไปยืมเศษเล็กเศษน้อยจากพัฒนาการของศาสนาอื่น ๆ ซึ่งแวดล้อมวัฒนธรรมของอิสลามในช่วงเวลานี้ของประวัติศาสตร์ มันดั้งเดิมได้อย่างไร

อีกคำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นมาก็คือการเรียบเรียงข้อความที่คาดว่าศักดิ์สิทธิ์นี้ซึ่งขึ้นอยู่กับเศษวัสดุชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ไม่สมบูรณ์เป็นชิ้นเป็นอันและเน่าเปื่อยผุพังได้ง่าย เช่น กระดูก ไม้ หนัง ใบไม้และหิน

คัมภีร์อัลกรุอานถูกรวบรวมขึ้นโดยการได้รับบัญญัติสิบประการผ่านทางสติปัญญาหน่วยความจำและคำพูดที่อาจผิดพลาดได้ ซึ่งต้องการความถูกต้องและแม่นยำเช่นเดียวกับการเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดเพื่อที่จะตรวจสอบความเชื่อมั่นของความถูกต้องได้

มีวิธีไหนบ้างไหมที่จะบันทึกหรือรักษาสิ่งที่เป็นงานเขียนถาวรที่บรรยายว่าเป็น “มารดาแห่งหนังสือทั้งปวง” หรือในความเป็นจริงแล้วไม่มีอะไรแตกต่างไปจากวรรณคดีเก่าแก่อื่น ๆ

คัมภีร์อัลกุรอานไม่เคยได้รับการตรวจพิสูจน์ว่าได้ถูกรวบรวมขึ้นไม่ว่าจะเป็นในช่วงที่พระนบีมูฮัมหมัดมีชีวิตอยู่หรือภายหลังจากที่ท่านเสียชีวิตไปแล้วไม่นานก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามหลักฐานได้แสดงให้เห็นว่าคัมภีร์อัลกุรอานถูกรวบรวมและปรากฏขึ้นมาในช่วง 150 – 200 ปีหลังจากที่ศาสดาพยากรณ์ได้เสียชีวิตไปแล้วและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักบุญในราวศตวรรษที่ 8 หรือ 9

บรรดานักวิชาการลงความเห็นว่าข้อความในคัมภีร์อัลกุรอานไม่ได้ถูกรวบรวมโดยคน ๆ เดียวแต่เป็นการรวบรวมโดยกลุ่มคนมาเป็นช่วงเวลากว่าสองสามร้อยปี

คัมภีร์อัลกรุอานฉบับที่เก่าแก่ที่สุดนั้นถูกจารึกไว้ในคัมภีร์ Ma’il ลงวันที่ในราว ค.ศ. 790 ซึ่งก็ประมาณ 150 ปีหลังจากพระนบีมูฮัมหมัดถึงแก่กรรม

นอกจากนี้คัมภีร์ต่าง ในยุคอุษมานนั้นก็ไม่มีอยู่อีกแล้วและแม้นักวิชาการของอิสลามร้องเรียกหาความจริงอย่างอื่นอีกว่าคัมภีร์คูฟิค ซึ่งมีเนื้อหาที่ขัดแย้งกันไม่ได้ถูกนำใช้ในระหว่างช่วงยุคอุษมานและไม่ได้ปรากฏให้เห็นจนกระทั่ง 150 ปีต่อมาหลังจากหมดยุคของอุษมานแล้ว

แล้วสมมุติว่าภาษาอาระบิคเป็นภาษาสวรรค์ของพระอัลเลาะห์และคัมภีร์อัลกุรอานเกิดขึ้นมาจากพระอัลเลาะห์แล้ว ทำไมคัมภีร์อัลกุรอานถึงได้หยิบยืมการติดต่อสื่อสารผ่านการใช้คำต่างประเทศหรือภาษาอื่น เช่น ภาษาอะคาเดียน ภาษาอัสซีเรียน ภาษาเปอร์เซียน ภาษาซีเรียค ภาษาฮีบรู ภาษากรีก ภาษาอราเมอิก และภาษาเอธิโอปิค

ถ้าคัมภีร์อัลกุรอานเป็นของแท้แล้วทำไมไม่มีเนื้อหาดั้งเดิมคงอยู่และนำมาใช้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่พวกเรามีเอกสารที่เกิดขึ้นก่อนยุคศาสนาอิสลามที่ก็ยังดำรงอยู่อย่างสมบูรณ์ไม่บุบสลาย แน่นอนว่าพระอัลเลาะห์ในการปกครองด้วยอำนาจสูงสุดของตัวเองย่อมสามารถรักษาไว้ซึ่งข้อความศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง

หากพิจารณาประวัติศาสตร์ของคัมภีร์อัลกุรอานแล้ว มันน่าจะมีการตรวจสอบซัยดฺ อิบนุซาบิ ผู้ที่เป็นเลขาส่วนตัวของพระนบีมูฮัมหมัด ซัยดฺภายใต้การสั่งการของอบูบักร์ให้รับและจัดทำเอกสารจากการบอกเล่าของพระนบีมูฮัมหมัด

ด้วยเหตุนี้ ระหว่างการปกครองในยุคอุษมาน กษัตริย์องค์ที่สามมีความพยายามตั้งใจที่จะสร้างมาตรฐานให้กับคัมภีร์อัลกุรอานและบังคับให้ชุมชนมุสลิมทั้งหมดใช้เนื้อหาเดียวกันซึ่งนำไปสู่การจัดทำสำเนาของข้อพระคัมภีร์เล่มอื่น ๆ ของซัยดฺ ในทางกลับกันก็ได้มีการทำลายเอกสารคู่แข่งอื่นๆ ทิ้งไปด้วย

ใครกันจะพูดว่าข้อพระคัมภีร์นี้ได้มาตรฐาน ด้วยความบริสุทธิ์ใจ คน ๆ เดียวที่มีอำนาจสุดท้ายต่อกรกับสังคมของเหล่าผู้ศรัทธา ซึ่งบางคนเคยเป็นสหายใกล้ชิดกับพระนบีมูฮัมหมัด

ทุกวันนี้เรามีสำเนาของสำเนาที่คู่ไปกับข้อความพระคัมภีร์ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราได้สิ่งที่เป็นคัมภีร์อัลกุรอานจริง ๆ และพระนบีมูฮัมหมัดจะสามารถจดจำเนื้อหาทั้งหมดนี้ได้

และเนื่องมาจากมีหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรจำนวนมากได้ถูกทำลายทิ้งไป พวกเราไม่มีทางที่จะเขียนข้อความชั้นบริสุทธิ์ขึ้นมาได้

ความแตกต่างระหว่างคัมภีร์ทั้งสี่ที่มีอยู่รวมกันใน ซัยดฺ อับดุลลาห์ อิบนุ มัสอุด อาบู มูซา และ อุบัย มีการเบี่ยงเบนและการลบล้างระหว่างคัมภีร์ทั้งสี่เล่มและแม้แต่จากเล่มดั้งเดิมของเนื้อหาเองซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่น่าเชื่อถือในการมีสัมพันธภาพต่อพระนบีมูฮัมหมัด

อัลดุลลาห์ มัสอุด ได้รับการแต่งตั้งจากพระนบีมูฮัมหมัดให้เป็นปรมาจารย์ในการสวดคัมภีร์อัลกุรอานและอุบัยเป็นเลขานุการของท่านศาสดา

คำถามของข้าพเจ้าก็คือต้นฉบับของใครกันแน่ที่ถูกต้องหรือน่าเชื่อถือมากกว่ากันในกลุ่มสานุศิษย์ผู้ใกล้ชิดท่านศาสดา

ใครคืออุษมาน ที่เป็นผู้มีอำนาจคนสุดท้ายในการแก้ไขความถูกต้องเนื่องจากว่ามีตำราที่น่าเชื่อถือต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยชุมชนอื่น ๆ

เมื่อซัยดฺ ได้รวบรวมข้อพระคัมภีร์เขาลืมใส่คำสอนบางคำสอนที่เกี่ยวข้องกับ “การทำโทษด้วยการปาหิน” ลงไปด้วยเช่นกัน

ตอนนี้หลังจากการต่อสู้ดิ้นเพื่อทำข้อพระคัมภีร์ให้เป็นหนึ่งเดียวซึ่งต่อมาภายหลังได้ถูกทบทวนและปรับปรุงใหม่โดยอัลฮัจจาจญ์ผู้ว่าการของเมืองคูฟา

เริ่มแรกเขาได้เแก้ไขข้อพระคัมภีร์ไปสิบเอ็ดเล่มและท้ายที่สุดสิ่งที่เขาได้แก้ไขต่อมาถูกลดลงเหลือแค่เจ็ดเล่ม

จากอิทธิพลของข้อพระคัมภีร์ฮาฟซานี้ ซึ่งเป็นเอกสารดั้งเดิมมาจากข้อพระคัมภีร์สุดท้ายที่ได้เถูกขียนขึ้นและต่อมาถูกทำลายโดยมัรวาน ผู้ว่าการเมืองเมดินา อีกหนึ่งปรากฏการณ์ประหลาดในคัมภีร์อัลกุรอานก็คือหนึ่งในการยกเลิกซึ่งเป็นวิธีจัดการสิ่งที่ขัดแย้งภายในที่ถูกบรรยายว่าเป็นการปรับปรุงเนื้อหาข้อพระคัมภีร์ให้ดีขึ้น

ข้าพเจ้ากำลังสงสัยว่าคุณสามารถแก้ไขบางสิ่งบางอย่างที่สมบูรณ์แบบแล้วได้อย่างไรเพราะการเปิดเผยนี้ครอบคลุมเพียงแค่ช่วงเวลายี่สิบปีและไม่จำเป็นต้องปรับปรุงอะไรเลยเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อวิวัฒนาการความเป็นมาตรฐานทางแนวคิดและค่านิยม

มีการกล่าวถึงตัวเลขของการยกเลิกว่าอยู่ระหว่าง 5 ถึง 500 บางคนพูดว่าตัวเลขใกล้เคียง 225 สิ่งนี้แสดงให้เราเห็นว่าศาสตร์แห่งการยกเลิกเป็นศาสตร์ที่ผิดจริง ๆ เพราะไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่ามีข้อความถูกยกเลิกไปมากเท่าไหร่ นอกจากนี้สิ่งที่ขัดแย้งกันภายในมีหลักเกณฑ์เหมือนกันกับข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์เช่นกันอีกด้วย

ในการเชื่อมโยงสองสิ่งที่แตกต่างเข้าด้วยกันก็คือจำนวนวนฮาดิษซึ่งเป็นพระวจนะของพระนบีมูฮัมหมัดที่ปรากฏเพิ่มมากขึ้นทันใดในศตวรรษที่ 9 ซึ่งป็นเวลา 250 ปีหลังความจริง

หกแสนฮาดิษซึ่งเป็นพระวจนะดั้งเดิมที่เคยแพร่หลายในช่วงเวลานั้น มีเพียงแค่เจ็ดพันกว่าพระวจนะที่ยังคงมีอยู่ ทิ้งให้พระวนจนะดั้งเดิมกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ถูกจัดให้เป็นพระวจนะที่ผิด

ถ้า 99 เปอร์เซ็นต์ไม่ถูกต้องเสียแล้วพวกเราจะสามารถมั่นใจใน 1 เปอร์เซ็นต์ที่ได้รับการรับรองจากท่านอัล บุคลารีได้อย่างไร ค่านิยมและแนวคิดของมุสลิมวิวัฒนาการมาจากการบอกเล่าสืบต่อกันมาจากผู้เล่าเรื่องหรือ Kussas ซึ่งในที่สุดเรื่องเล่าของพวกเขาได้ถูกรวบรวมไว้หลังยุคศตวรรษที่ 8 เรื่องเล่าเหล่านี้มาจากนิทานพื้นบ้านทั่วไปและถูกเสริมเติมแต่งบิดเบือนมากขึ้นจนกลายเป็นศาสนาอิสลาม

ถ้าคุณเคยเล่นเกมโทรศัพท์หรือเล่าเรื่องต่อ ๆ กันกับกลุ่มคนเยอะ ๆ เล่าต่อกันทีละคน ในตอนท้ายมักจะจบลงที่เรื่องเล่าที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเมื่อคนสุดท้ายเป็นคนเล่าเรื่องให้ทุกคนฟัง

ตอนนี้เรื่องเล่านี้ได้แพร่กระจายมากไปกว่าสองสามร้อยปีแล้วคุณคิดว่าผลลัพธ์ของการปฏิบัติเช่นนี้จะเป็นเช่นไร

หากจะพิจารณาว่าคัมภีร์อัลกุรอานเป็นแผนการของพระอัลเลาะห์หรือสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเหล่าบรรดาสิ่งมหัศจรรย์โดยไม่คำนึงความเท่าเทียมกันทางด้านการประพันธ์แล้วดูฟังดูเหมือนออกจะเป็นการกล่าวอ้างเกินจริงซึ่งไม่พบเห็นตามหน้าปกหนังสืออื่น ๆ

คัมภีร์อัลกุรอานทิ้งไว้ซึ่งคำถามมากกว่าคำตอบ

คัมภีร์อัลกุรอานเป็นความดีเลิศของผลงานวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมหรือเรียกสั้น ๆ ว่าการกล่าวอ้างเพื่อให้มีชื่อเสียงกันแน่

คัมภีร์อัลกุรอานมีข้อความที่งดงามเกินกว่างานวรรณกรรมชิ้นอื่น ๆ เช่นนั้นหรือ นี่เป็นข้อคิดเห็นทิ้งไว้ให้คนฟังคิดว่ามีชิ้นงานวรรณกรรมคลาสสิคจำนวนมาก ซึ่งคัมภีร์อัลกุรอานได้หยิบยืมมาจากความคิดเห็นของเล่มอื่น ๆ จึงทำให้กลายเป็นวรรณกรรมที่ดีมากขึ้น

สำหรับคัมภีร์ที่ควรจะเป็นอันดับที่หนึ่งและถูกบรรยายไว้เสมอว่ามีการแก้ไขที่ไม่ดีและไม่มีความต่อเนื่องในหลาย ๆ ประเด็นและไม่สามารถที่จะทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์และการตรวจสอบอย่างละเอียดจากคนอื่น ๆ ผู้ซึ่งสามารถให้มุมมองที่เป็นภววิสัยต่อความเป็นจริงของคัมภีร์ได้

สำหรับคนอื่น ๆ การนำไปใช้ภายในองค์การนั้นมันเป็นไปอย่างเชื่อฟังอย่างไม่ต้องสงสัย ยอมจำนนแบบไร้เหตุผลซึ่งเป็นการป้องกันผู้เคารพสักการะจากการคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับเนื้อหาของคัมภีร์

การตั้งคำถามต่อพระคัมภีร์ก็เหมือนเป็นการตั้งคำถามต่อพระอัลเลาะห์และศาสดาพยากรณ์ของเขาซึ่งนอกเหนือไปจากกรอบความคิดของมุสลิมซึ่งจะมองสิ่งนี้เป็นเหมือนการทรยศและต่อต้านซึ่งจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการกระทำนั้นตลอดกาล

กล่าวโดยสรุปข้าพเจ้าไม่มีความคิดเห็นอื่นอีกแล้วจริง ๆ เกี่ยวกับคัมภีร์อัลกุรอาน สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าอยากจะพูดก็คือข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้าพเจ้าคงไม่กล่าวเรื่องราวนี้เกินจริงไปด้วยการใช้ถ้อยคำอย่างตรงไปตรงมาและด้วยเหตุที่เหมือนไม่แสดงความเคารพต่อเพื่อนชาวมุสลิมของข้าพเจ้า

นี่เป็นสิ่งที่ทำได้ยากเพราะว่าเมื่อศาสนาถูกฝังลงเป็นความศรัทธาส่วนบุคคลอย่างถาวรมากกว่าเป็นสิ่งที่นำมาเพื่อเสนอท้าทายทัศนคติต่อความคิดทางศาสนา ซึ่งบ่อยครั้งที่ถูกมองว่าเป็นการขู่เข็ญหรือรูปแบบของศัตรู

ข้าพเจ้าขอให้คุณโปรดให้อภัยข้าพเจ้าถ้าหากสิ่งที่ข้าพเจ้าทำลงไปทั้งหมดเป็นการกระตุ้นความโกรธของคุณมากกว่าไปกระตุ้นความสงสัยต่อพระคัมภีร์ซึ่งคุณยึดถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ขอกล่าวอีกครั้งว่าความตั้งใจของข้าพเจ้าคือไม่ใช่การรุกรานแต่เป็นการรักษาไว้ซึ่งความจริงและเพื่อดำเนินไปตามแนวทางของสิ่งที่ซึ่งอาจจะนำทางให้เราในท้ายที่สุด

สุดท้ายนี้หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมในหัวข้อนี้คุณสามารถหาดูได้จากบทความที่เขียนโดยเจย์ สมิธ ซึ่งข้าพเจ้าได้เคยเขียนไว้ในบันทึกข้อความบนเว็บไซต์นี้

 

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

jesusandjews.com/wordpress/2009/11/09/is-the-quran-sacred/

วิหารกะบะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่

Friday, January 18th, 2013

เนื่องมาจากว่าศาสนาของชาวอาหรับได้นับถือบูชาพระอัลเลาะห์ว่าเป็นพระเจ้าองค์ที่แท้จริงเพียงองค์เดียวในศาสนาอิสลาม แต่ก็ยังคงไม่แยกตัวเองออกจากการจงรักภักดีต่อพหุเทวนิยมเช่นในอดีต

วิหารกะบะซึ่งเป็นวิหารรูปทรงสี่เหลี่ยมตั้งอยู่ที่เมืองเมกกะ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดของศาสนาอิสลาม วิหารแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกนอกศาสนามาก่อนยุคอิสลาม

เสาหลักของสิ่งก่อสร้างนี้เป็นหินอุกกาบาตสีดำซึ่งกล่าวกันว่าตกลงมากจากสวรรค์และสีดำนั้นมาจากความมืดบาปของมนุษย์ ในปัจจุบันชาวมุสลิมได้จูบก้อนหินนี้เพื่อแสดงความเคารพและบูชาในระหว่างทำพิธีฮัจญ์

ความเชื่อของชาวอาหรับโบราณก่อนอิสลามนั้นเคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของไสยศาสตร์มนตร์ดำซึ่งให้ความสำคัญแก่หินดำนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติพิธีกรรมของพวกเขา

ชาวอาหรับเป็นพวกนับถือสักการะหินซึ่งเผ่าของพวกเขามีวิหารกะบะหินดำศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้เป็นที่สักการะบูชาของพวกเขาเอง

หนึ่งในพิธีกรรมที่เกี่ยวพันกับวิหารกะบะก็คือการเวียนรอบวิหารแห่งนี้ ทฤษฎีปฏิบัติตามศาสนานี้เริ่มมาจากเผ่าชนพื้นเมืองได้เดินรอบวิหารกะบะซึ่งเปรียบเสมือนการเคลื่อนตัวของวัตถุแห่งสวรรค์เกี่ยวข้องกับการบูชาพระจันทร์ พระอาทิตย์และดวงดาว การปฏิบัตินี้ยังรวมไปถึงการจูบหินของชนเผ่านี้อีกด้วยซึ่งเชื่อว่ามีพระเจ้าหรือวิญญาณสถิตย์อยู่ การจูบหินหรือสัมผัสหินนี้เชื่อว่าเป็นการนำมาซึ่งความสุขความเจริญ

นอกจากนั้นแล้วการได้เชื่อมโยงกับหินดำกะบะยังเป็นการได้เคารพสักการะฮุบัล เทพแห่งดวงจันทร์อีกด้วย

คุณลักษณะอื่นของวัฒนธรรมอาหรับซึ่งเกี่ยวโยงกับพวกลัทธินอกศาสนาในอดีตที่เห็นในสังคมชาวอาหรับก็คือ การขว้างปาหินใส่ทุ่งมินา การวิ่งระหว่างเนินเขาซอฟาและมัรวะห์ซึ่งเป็นเพียงการทำตามพวกนอกศาสนาที่เคยใช้วิ่งไปมาระหว่างสิ่งบูชาทั้งสอง และท้ายสุด การสรรเสริญ ซึ่งลอกเลียนมาจากพิธีกรรมเก่าแก่ของการบูชาบรรพบุรุษผู้ล่วงลับของพวกเขาและปัจจุบันการปฏิบัตินี้ได้ถูกนำมาใช้เพื่อบูชาสรรเสริญพระอัลเลาะห์ทางอ้อม

วัฒนธรรมของชาวอาหรับดูเหมือนไม่ตัดขาดจากวัฒนธรรมของพวกนอกศาสนาในสมัยก่อนถึงแม้ว่ามีการเรียกร้องภายใต้สัญลักษณ์ใหม่แห่งเอกเทวนิยมหรือการนับถือพระเจ้าองค์เดียว การปฏิบัติที่คล้ายคลึงกันของการรวมวัฒนธรรมอาหรับเข้ากับศาสนาอิสลามนี้ได้ก่อให้เกิดความผสมผสานมากกว่าความบริสุทธิ์ขององค์ประกอบทางศาสนา เนื่องจากวิหารกะบะเป็นสิ่งโดดเด่นที่อยู่กับที่เหมือนกับเสาหลักของศาสนาอิสลามเปิดเผยให้เห็นว่ามีรอยแตกร้าวบางแห่งเกิดขึ้นกับโครงสร้างแห่งศาสนานี้

ดังนั้นอีกนานแค่ไหนกว่าที่ศาสนาอิสลามจะสามารถนำมาซึ่งความมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครที่มีศรัทธาแท้จริงเพียงหนึ่งเดียว เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าศาสนาอิสลามได้ยืมโครงสร้างทางศาสนามาจากความเชื่อที่เป็นของศาสนายูดายและต่อมาปรับใช้ในศาสนาคริสต์และถูกแต่งเติม เสริมภายในจากความเหมือนของลัทธินอกศาสนาของตนเองในอดีต

นี่คือความศรัทธาที่แท้จริงเช่นนั้นหรือ หรือ เป็นเพียงแค่การหยิบยืม การรวมหน่วยความคิดที่หลากหลายในการปฏิบัติทางศาสนาพื้นบ้านควบคู่ไปกับการบวกรวมมุมมองของโลกแห่งศาสนาอื่น ๆ

คุณเต็มใจที่จะสาบานจงรักภักดีและยอมรับศาสนาที่ในอดีตมีการรวมตัวกันอย่างไม่ใสสะอาดเช่นนั้นหรือ ศาสนาอิสลามได้ถูกเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปโครงสร้างเดิมของการบูชาทางศาสนา โดยการปกปิดไว้ด้วยฉนวนแผ่นบาง ๆ และทำการตลาดให้เป็นศาสนาใหม่ที่มีพื้นฐานเดิมจากการได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้า บางทีสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังผ้าคลุมหน้าของศาสนาอิสลามก็คือเทวรูปศรีษะเดียวกับเสาแห่งความเชื่อของพระเจ้า

ในการเขียนบันทึกบนเว็บไซต์แห่งนี้ข้าพเจ้าได้รวบรวมข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งเกี่ยวกับหัวข้อนี้เข้าด้วยกันและพยายามวิเคราะห์ประเมินผลจากข้อมูลนี้อย่างเป็นธรรมด้วยใจจริงในขณะรวบรวมข้อมูล

ข้าพเจ้าขอให้คุณอย่าเพิกเฉยต่อเนื้อหาในบันทึกบนเว็บไซต์นี้ คิดว่าเป็นเพียงแค่แผนการให้ร้ายหมิ่นประมาทเท่านั้น ข้าพเจ้าขอสนับสนุนให้คุณทำการวิจัยด้วยตัวท่านเองเกี่ยวกับหัวข้อนี้ในขณะที่เปิดใจให้กว้าง

ข้าพเจ้าได้ชักชวนผ่านบันทึกบนเว็บไซต์แห่งนี้ไปยังผู้ที่มีความเชื่อทางศาสนาอิสลามในขณะที่กำลังพยายามหลีกหนีการป้ายสีที่ไม่จำเป็นหรือการกล่าวหาผิด ๆ ไปยังชาวมุสลิมและสิ่งที่พวกเขายึดถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้าจำได้ว่าเพื่อนชาวมุสลิมของข้าพเจ้าหลาย ๆ คนนั้นมีความกระตือรือร้นในการอุทิศตนและจริงใจต่อแนวความคิดของพวกเขาต่อพระเจ้าและข้าพเจ้าเคารพในสิ่งนั้น แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังจะขอให้พวกเขาทำก็คือยอมให้ข้อมูลที่แท้จริงได้นำพวกเขาไปสู่การตัดสินใจที่ดียิ่งกว่าโดยเห็นได้จากการจงรักภักดีและการอ่อมน้อมของพวกเขา

ท้ายสุดนี้ถ้าคุณเป็นชาวมุสลิม ข้าพเจ้าอยากสนับสนุนให้คุณสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าโดยพิจารณาจากความจริงที่อยู่เบื้องหลังศรัทธาและการปฏิบัติในศาสนาอิสลาม

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

jesusandjews.com/wordpress/2009/07/19/is-the-kaba-sacred/

นบีมูฮัมหมัดเป็นศาสดาพยากรณ์เทียมใช่หรือไม่

Friday, January 18th, 2013

นบีมูฮัมหมัดเป็นประกาศกเทียมใช่หรือไม่ มีหลายศาสนาและลัทธิต่าง ๆ ที่ได้กล่าวอ้างถึงการได้รับการเปิดเผยพิเศษ ทั้งนี้หมายถึงว่ามีบุคคลคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นสื่อกลางแห่งความจริง ซึ่งพวกเราคงต้องพยายามค้นหาและตรวจสอบว่าสถานการณ์ไหนที่สังเกตุเห็นได้ว่าเป็นจริงและสถานการณ์ไหนเป็นเพียงนิยายปรัมปราและเป็นความเท็จ ใคร ๆ ต่างก็สามารถกล่าวอ้างคาดเดาเกี่ยวกับการเปิดเผยพระคัมภีร์ได้ แต่ในบางครั้งบางประเด็นของการกล่าวอ้างนั้นอาจนำมาซึ่งความท้าทายเพื่อพิสูจน์ความจริงและหาความน่าเชื่อถือด้วยการตรวจสอบอย่างละเอียดและท้าทายต่อคำวิพากษ์วิจารณ์อื่น ๆ ก็เป็นได้ ก่อนอื่นหมดคำให้การภายใต้คำสาบานนั้นเป็นสิ่งที่ดีพอ ๆ กับความน่าเชื่อถือของพยานบุคคล ถ้าหากคุณต้องแต่งตั้งคน ๆ หนึ่งให้เป็นพยายานที่ถูกต้องตามกฏหมายในศาล สิ่งแรกที่ทำให้คุณตัดสินใจเลือกคน ๆ นั้นก็คือระดับความสามารถของเขา คำให้การที่ถูกมองว่าน่าไว้วางใจนั้นมาจากบุคคลิกลักษณะที่น่าเชื่อถือหรือมาจากการที่ถูกมองเป็นพยานที่ไม่เหมาะสมกันแน่

สำหรับตัวข้าพเจ้าแล้วสิ่งแรกที่ข้าพเจ้าต้องการพิจารณาอย่างละเอียดก็คือคุณลักษณะของผู้เริ่มและก่อตั้งกระบวนการทางด้านศาสนาที่เรียกกันว่า ศาสนาอิสลาม
นบีมูฮัมหมัดเป็นบุคคลผู้ซึ่งเคยอุทิศตนต่อการนั่งสมาธิวิปัสนากรรมฐานกำหนดจิตวิญญาณ ในที่สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้ได้นำเขาไปสู่ประสบการณ์ทางด้านจิตวิญญาณและคิดว่าตัวเองอาจจะเคยเป็น Jinn ซึ่งสร้างความกังวลใจให้เขามากจนถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตายถึงสองหนโดยไม่รู้ว่าตัวเขาเองนั้นได้รับการเลือกให้เป็นประกาศกหรือคนบ้ากันแน่เนื่องมาจากการเปิดเผยเหล่านี้ แหล่งข้อมูลของอิสลามในยุคแรกได้กล่าวไว้ด้วยเช่นกันว่าเขาเคยตกอยู่ภายใต้ความควบคุมของซาตานเมื่อตอนที่เขาเขียนซูเราะห์ 53 ซึ่งเป็นสาเหตุให้ข้าพเจ้าเกิดคำถามถึงความถูกต้องตามทำนองคลองธรรมต่อข้ออ้างของเขาทั้งหมดต่อแรงบันดาลใจจากพระเจ้า มากกว่านั้นนบีมูฮัมหมัด ณ จุดหนึ่งในช่วงปลายชีวิตของท่านกล่าวว่า ท่านเป็นเหยื่อของมนต์สะกดที่คงอยู่เป็นปีและตามที่ อีบิน อิสฮัค ที่กล่าวว่า นบีมูฮัมหมัดหลงเสน่ห์ในช่วงเวลานั้นและ คูคารีเสริมว่ามนต์นั้นทำให้ท่านมีอาการหลอน
พวกเรายังคงมีคำถามอีกหลายข้อในเรื่องของคุณลักษณะเฉพาะส่วนบุคคลและคุณลักษณะโดยรวม นบีมูฮัมหมัดเคยใช้อำนาจและการบีบบังคับซึ่งก็หมายถึงว่าหากจำเป็นก็ใช้กำลังทหารเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะและประโยชน์ต่อตัวเองมากขึ้นไปอีก ซึ่งก็เกี่ยวข้องกันกับการเผยแพร่ความเชื่อของเขา นี่คือศาสนาที่ก่อให้เกิดรูปแบบและคำนิยามของคำว่า จีฮัด หรือ “สงครามศักดิ์สิทธิ์” เพื่อที่จะได้รักษาไว้ซึ่งอิทธิพลและการควบคุมของตนเองและนั่นก็ยังคงเป็นกลยุทธ์เบื้องหลังของศาสนาอิสลามในปัจจุบัน ศาสนาที่เริ่มต้นด้วยการนองเลือดและยังคงมีการสังหารอยู่อย่างต่อเนื่องถึงทุกวันนี้ ดังนั้นพวกเราเห็นได้ว่าศาสนาซึ่งมีเอกลักษณ์ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการยกระดับการแสดงออกทางด้านความรักของมนุษย์ให้สูงขึ้นหากแต่มุ่งไปที่การเรียนรู้ของมนุษย์เพื่อนำไปสู่การทำลายและแสวงหาผลประโยชน์ของมนุษยชาติ

ควบคู่ไปการใช้อำนาจในทางที่ผิดคือการข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของเขาที่ได้เอารัดเอาเปรียบเด็ก ชื่อ อาอิชา ซึ่งเขาได้แต่งงานกับเธอและแล้วภายหลังได้หลับนอนเสร็จสมบูรณ์ในการแต่งงานเมื่อเธออายุเพียง 9 ขวบก่อนที่เธอจะถึงวัยเจริญพันธุ์ เขายังได้อนุญาตให้มีการมีภรรยาหลายคน แน่นอนโดยผ่านการาเผยแสดง เขาเท่านั้นที่มีสิทธิพิเศษที่จะมีภรรยาเก้าคนนอกเหนือที่จากข้อห้ามใน คัมภีร์อัลกูรอาน 4:3 ซึ่งจำกัดจำนวนแค่ 4 อีกเรื่องหนึ่งคือการต่างงานที่ฉาวโฉ่กับ ซายนับ ซึ่งลูกชายเลี้ยงของเขาชื่อ ซายด์ได้หย่ากับเธอดังนั้นนบีมูฮัมมัดจึงสามารถรับเธอมาเป็นภรรยาของเขาซึ่งเป็นผลที่เขามีความใคร่ทางเพศเมื่อเขาพบเธอในสภาพที่เกือบเปลือยโดยไม่ตั้งใจในขณะที่ไปเยี่ยมลูกเลี้ยงของเขาในเวลาที่ไม่เหมาะนัก นอกเหนือไปจากนี้มุสลิมสามารถมีเพศสัมพันธ์กับหญิงที่จับมาเป็นเชลยได้โดยไม่ต้องแต่งงานกับพวกหล่อนแม้ว่าสามีของพวกหล่อนยังคงมีชีวิตอยู่ก็ตาม นบีมูฮัมัดยังได้อนุญาตให้ผู้ติดตามของเขาได้จัดให้มีรูปแบบของโสเภณีเรียกว่า มูตา ซึ่งยังคงทำมาในทุกวันนี้ ซึ่งมุสลิมสามารถจ่ายเงินเพื่อเพศได้ โดยแต่งงานกับหล่อนในระยะเวลาสั้นแล้วก็หย่า ท้ายสุด ปัญหาเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิสตรี เขายังได้อนุญาตให้มีการเฆี่ยนตีเบา ๆ ถ้าคิดว่ามีความจำเป็น

เมื่อถึงจุดนี้ก็คงไม่ต้องใช้เวลามากที่จะตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อค้นหาว่าศาสนานี้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยบุคคลที่น่าสงสัยผู้ซึ่งขาดความเสมอต้นเสมอปลาย
ยังมีตัวอย่างอื่น ๆ อีกซึ่งในประวัติศาสตร์มีการนำการเมืองมาใช้ และในบางครั้งได้ใช้นโยบายทางด้านศาสนาเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และอุดมคติของพวกเขา อุดมคติมากมายเหล่านี้ได้นำไปสู่การขุดรากถอนโคนและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติบนพื้นฐานของความอคติและใจแคบซึ่งอยู่เหนือกว่าพลังและความสามารถของมนุษย์ บางสิ่งซึ่งโง่เง่ามากจนกระทั่งสามารถบรรยายได้เพียงว่าเป็นปีศาจในธรรมชาติเท่านั้น อย่างเช่น สตาลินและฮิตเล่อร์ผู้ซึ่งเป็นศาสดาจอมปลอมประสบผลสำเร็จในอำนาจเผด็จการที่ทำให้พวกเขาเสื่อมทรามลงอย่างแท้จริงและนำพาให้อัจฉริยะแห่งความชั่วร้ายเหล่านี้ประสบผลสำเร็จในแผนการการทำลายล้าง มันช่างน่าประหลาดใจที่มีผู้คนมาชุมนุมกันอยู่เบื้องหลังซึ่งต่างชื่นชอบความเป็นผู้นำของฮิตเล่อร์ผู้ซึ่งอาจจะเป็นคนที่มีจิตใจไม่ปกติได้อย่างไร พวกเราทั้งหมดต่างงุนงงและมองดูความโหดร้ายในวันนี้และสงสัยว่ามนุษยธรมนั้นเป็นอย่างไรหากบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นเกิดขึ้นแม้ในศตวรรษที่ 20 ก็ตามและทำไมผู้คนถึงเชื่อการโกหกและการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ถึงหลอกลวงสำเร็จ โชคร้ายที่ปรากฏการณ์คล้ายคลึงกันนี้ยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบันกับความเชื่อของศาสนาอิสลาม ความบ้าคลั่งซึ่งทำให้ความชอบในทุก ๆ ด้านของมนุษยชาติและวัฒนธรรมต้องมัวหมอง ผู้คนถูกชักชวนให้สนับสนุนข้อกล่าวอ้างของตนเองและเป็นเหตุทำให้ไม่ตระหนักถึงการยึดฉวยทำลายซึ่งวันหนึ่งมันจะนำมาซึ่งความพินาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกับที่เคยเกิดกับระบอบฮิตเล่อร์

โลกทั้งโลกจดจำสิ่งที่ลึกลงไปในความมืดเบื้องหลังผ้าคลุมหน้าของพวกชั่วร้ายเหล่านี้และความผิดที่ยิ่งใหญ่และอาชญากรรมที่พวกเขาได้กระทำต่อสังคมโลกของเราซึ่งพบได้ว่าพวกเขานั้นผิดในความรู้สึกเป็นที่สุด อิสลามเป็นศาสนาที่เติบโตมีอิทธิพลทั่วโลกซึ่งทำให้มนุษย์ติดเชื้อในอัตราส่วนของการแพร่ระบาดนี้ด้วย
ในทุก ๆ ปีมีหลายพันคนที่ต้องได้รับความทุกข์ทรมานอย่างสาหัสและเสียชีวิต เพียงเพราะคน ๆ เดียวที่มีความฝันเกี่ยวกับแรงบันดาลใจที่น่าสงสัย
คุณจะยังคงปฏิบัติตามแนวทางแห่งความตายและการทำลายล้างอยู่จริง ๆ น่ะหรือ ถ้าหากคุณเป็นผู้ปฏิบัติตามศาสนาอิสลาม ข้าพเจ้าอยากขอคุณง่าย ๆ ให้ลองหยุดปกป้องสิ่งที่คุณคิดว่าศักดิ์สิทธิ์สักพัก ลองหยุดให้นานพอที่จะมองดูหลักฐานอย่างจริงจังอีกครั้งและสวดภาวนาต่อพระเจ้าให้เปิดเผยถึงบุคคลที่มีนามว่า “พระเยซู” ซึ่งให้ชีวิตแก่ท่านและเป็นชีวิตที่มีมากมายล้นพ้น

มัทธิว 7: 15-16
15″จงระวังประกาศกเทียมซึ่งมาหาท่าน นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย
16ท่านจะรู้จักเขาได้จากผลของเขา”

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

Is Muhammad a false prophet?

 

 

Permission granted by David Woods for excerpts taken from the article on “ Muhammad and the Messiah” in the Christian Research Journal Vol.35/No.5/2012