สำหรับบางคนแล้ว พระพุทธเจ้าเป็นพระเจ้าแต่ถ้าให้เรียกจริง ๆ ก็คือเจ้าชายสิทธัตถะ โคตรมะ ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้าและด้วยเหตุนี้พระองค์เองก็ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นเทพเจ้า สำหรับคนอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกับพระพุทธเจ้า ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ข้าพเจ้าอยากเชิญชวนท่านให้พิจารณาข้อโต้แย้งทางเจตจำนงและทางจักรวาลวิทยาซึ่งข้าพเจ้าได้เขียนไว้ในบทความก่อนหน้านี้ของข้าพเจ้า
ถ้าพวกเราสามารถสรุปได้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง ถ้าเช่นนั้นพวกเราควรมองไปยังพระองค์ราวกับได้รับความคิดและความเข้าใจที่แท้จริงในการนำพาชีวิตของพวกเราแทนที่เหล่าผู้รู้ทั้งหลายและพระพุทธเจ้า
สำหรับใครที่เคารพนับถือพระพุทธเจ้านั้น พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าถูกดำรงรักษาไว้เป็นอย่างดีเพราะคำสอนไม่ได้ถูกจัดพิมพ์ไว้จนกระทั่งสี่ร้อยปีภายหลังที่พระพุทธเจ้าสวรรคต ทำให้มีเวลาเหลือเฟือที่จะเสริมเติมแต่งเนื้อหาคำสอนของพระพุทธองค์จากปากต่อปากซึ่งเป็นการเปิดประตูไปสู่เรื่องเล่าตามจินตนาการ และในส่วนที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ควรจะสอนไว้ว่าถ้าใครไม่เห็นคุณค่าความเป็นไปที่แน่นอนตามคำสอนของพระองค์ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องมาสนใจ ดังนั้นจะสามารถอ้างสิทธิว่ารู้ความจริงแต่ไม่ยอมพิสูจน์ตัวเองในเชิงวัตถุวิสัยได้อย่างไร
นอกจากนี้คำสอนของพระพุทธเจ้ามีผลทำให้เกิดแบบแนวการสอนที่มีความคิดแตกต่างกันและหลากหลายนิกายซึ่งยึดหลักมุมมองที่ต่างกันออกไป
บางทีนี่อาจเป็นเพราะว่ามีข้อแตกต่างมากมายซึ่งพบได้ตามแหล่งข้อมูลที่แตกต่างจำนวนมาก ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะเป็นไปได้ที่จะทำให้ความแตกต่างเหล่านี้กลมกลืนเข้ากันได้กับข้อความพระคัมภีร์
ข้าพเจ้ายังคงสงสัยอีกว่าตัวพระพุทธเจ้าเองจะสามารถจดจำข้อความทั้งหมดซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของตัวเองได้เช่นนั้นหรือ
อย่างไรก็ตามคำถามที่ยังดังก้องอยู่ก็คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานจริง ๆ หรือไม่ เขาหรือคนอื่น ๆ รู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาบรรลุตามจุดประสงค์ในสภาวะที่เป็นอยู่หรือไม่ และอะไรคือเครื่องมือที่ใช้วัดความถนัดทางด้านจิตวิญญาณของคน การอ้างสิทธิเรื่องการตรัสรู้อาจเป็นความเข้าใจผิดในเรื่องการตรัสรู้ก็ได้เพราะไม่มีเกณฑ์ซึ่งใช้เป็นมาตรฐานต่อสภาวะจิตวิญญาณนี้
แม้แต่ตัวพระพุทธเจ้าเองยังไม่สามารถอธิบายหรือนิยามคำแห่งความสุขเช่นคำว่านิพพานได้ ยกเว้นพูดแต่ว่ามันไม่ใช่นิพพาน ถ้าหากผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไม่สามารถให้คำนิยามโชคมหาศาลในสิ่งที่ตรัสรู้ได้แล้ว ผู้คนจะมั่นใจได้อย่างไรว่านี่เป็นสภาพของความเป็นจริง
เป็นไปได้หรือไม่ว่ามุมมองทางโลกของศาสนานี้เป็นเพียงการโกหกหรือหลอกลวงซึ่งผลก็คือทำให้เสียเวลาอันมีค่าในชีวิตไปกับปรัชญาที่ไม่มีคุณค่าและมองโลกในแง่ร้ายที่ทำลายความปรารถนาแห่งชีวิตของคนมากกว่าการแสวงหาความสุขความกระจ่างของการฉลองของขวัญเพื่อชีวิต
ในความเป็นจริงแล้วกิเลสไม่สามารถถูกดับได้และแม้แต่พระภิกษุผู้ซึ่งปฏิบัติตามกฏวินัยของสงฆ์ก็ยังคงมีกิเลสที่จะสนับสนุนหลักคำสอนอริยสัจ 4 และปฏิบัติตามวิจัยสงฆ์แปดข้อเพื่อที่จะประสบผลสำเร็จสู่นิพพานตามที่ต้องการ
ปรัชญาที่ปฏิเสธตัวเองนี้อาจเข้ากันได้ดีกับความคิดแบบพุทธ อย่างไรก็ตามจริง ๆ แล้วผู้คนเหล่านี้ใช้ชีวิตตามหลักปฏิบัตินี้จริงหรือไม่
เช่นเดียวกันว่าจะสามารถพิสูจน์ความคิดที่เป็น อนัตตา ได้อย่างไร ในการวิคราะห์ขั้นสุดท้ายก็คือนี่เป็นเพียงแค่คำพูดและศัพท์แสลงทางด้านศาสนาที่ไร้สาระหรือเป็นเรื่องจริงกันแน่ ชีวิตทั้งชีวิตถูกตีความว่าเป็นความจริงที่กำกวมของเงาเคลื่อนไหวปราศจากซึ่งแนวคิดที่มั่นคงและมีเสถียรภาพใช่หรือไม่ อยากถามอีกครั้งว่าชาวพุทธศาสนิกชนใช้ชีวิตอยู่กับอุดมคติดเหล่านี้และสิ่งนี้แสดงให้เห็นชีวิตประจำวันจริง ๆ ของพวกเขาใช่หรือไม่
ในการดำเนินการตอบโต้ต่อความสำคัญของการหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานของปรัชญานี้ก็คือส่วนของสมการติดลบต่อปริมาณสุขนิยมซึ่งพยายามให้มีความสุขมากที่สุดในขณะที่ทำให้มีความเจ็บปวดน้อยที่สุด
ลองพิจารณาดูในแง่ของความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน แนวคิดนี้สามารถเข้าใจได้ถ้ามีเหตุมีผลของความยินดีและความดี มิฉะนั้นพวกเราไม่มีอะไรที่จะเชื่อมโยงต่อสิ่งที่เป็นคำนิยามของความเจ็บปวดและทรมาน ดังนั้นถ้าระดับของความดีและความสุขสามารถบรรลุได้ มันไม่น่าชื่นชมมากไปกว่าการหลีกเลี่ยงที่จะมองดูแก้วที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่งแทนที่จะมองเห็นความว่างเปล่าอยู่ครึ่งแก้วเช่นนั้นหรือ เราควรจะนำแง่มุมการใช้ชีวิตในทางบวกไปใช้มากกว่าหลีกเลี่ยงกิเลสทั้งปวงใช่หรือไม่ ก็เพราะว่าชีวิตเต็มไปด้วยอุปสรรค สิ่งนี้หมายถึงว่ายอมรับความพ่ายแพ้ดีกว่าและหลีกเลี่ยงการลงวิ่งแข่งใช่ไหม หรือ มันจะเป็นประโยชน์มากกว่าในการเผชิญกับสิ่งท้าทายและฝ่าอุปสรรคในชีวิตเหล่านั้นเสีย คุณรู้ใช่ไหมว่าบางครั้งสิ่งสวยงามต่าง ๆ ก็สามารถเกิดมาจากความทุกข์ได้แต่ถ้าคนเราหลีกเลี่ยงประสบการณ์นี้เสีย แล้วมันควรค่าแก่การนับถืออย่างไรหากใช้ชีวิตแบบสมยอม ดูอย่างความนิยมต่อวีรบุรุษที่เราโปรดปรานที่สละชีวิตของเขาเพื่อประโยชน์ของคนอื่น เฉกเช่นพระเยซูคริสต์ที่ทนทุกข์ทรมานและเสียชีวิตบนไม้กางเขนในนามของมนุษยชาติผู้ซึ่งพระองค์ได้แบกรับโทษจากบาปและความผิดของพวกเราเพื่อที่จะปลดปล่อยพวกเราจากคำสาปแห่งความทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์โดยการทำความดีในนามของพวกเราเพื่อความสุขในสรวงสวรรค์ตลอดกาล
ข้าพเจ้าเข้าใจและเห็นด้วยว่าความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานนั้นเป็นความชั่วร้ายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการมีอยู่การคงอยู่และมนุษย์โลก แต่มันไม่ควรถูกหลีกเลี่ยงโดยตรวจสอบดูหรือหลบหนีความจริงนี้ที่ไม่มีปัญหาใดแก้ได้โดยการกำจัดตัวเองและโลกของเราออกไป เช่นการทรมานร่างกายตัวเอง คงจะดีกว่าหากมุ่งพลังงานและความพยายามของเราไปยังการก่อสร้างโรงพยาบาลสำหรับผู้เจ็บป่วยและธนาคารอาหารสำหรับผู้ยากจนและเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งมากกว่าการใช้วิธีวางเฉยไม่ทำอะไรต่อผู้คนเหล่านั้นที่เป็นผู้โชคร้ายน่าสงสาร
และการใช้ชีวิตอยู่ในวัดไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาของความทุกข์ทรมานของมนุษย์ และการอยู่แบบสันโดษเป็นท่าทีการตั้งรับซึ่งค้านกับวิธีการแบบก้าวหน้าในการรับมือกับปัญหาเหล่านี้
ศาสนาคริสต์เข้ามาอยู่ในตำแหน่งและนำหน้าในการสร้างความพยายามที่ดีในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพื่อให้ผู้อื่นมีคุณภาพีชีวิตที่ดีขึ้นโดยช่วยคนยากจนให้มีความลำบากและการทรมานน้อยลง ดีกว่าการรับเอาทัศนคติที่ว่าการช่วยเหลือผู้อื่นนั้นเป็นการสนับสนุนความชั่วร้ายให้เพิ่มมากขึ้นนั่นคือ ตัณหา (ความปรารถนา) หรือ เหตุผลใดก็ตามที ยังไงเสียคนเหล่านี้จริง ๆ แล้วก็กำลังทุกข์ทรมานอันเนื่องมาจากโชคชะตากงกรรมกงเกวียน
ความทุกข์อาจจะเป็นศัตรู หากพูดแบบประชดประชันแล้วล่ะก็การดับกิเลสนี้เองที่จะนำไปสู่ความทุกข์มากกว่าเดิมเช่นเดียวกันกับที่ศาสนาพุทธกำลังพยายามหลีกหนี
การประชดประชันอีกอันหนึ่งที่สำคัญของปรัชญานี้ก็คือว่าพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาต้นเหตุแห่งทุกข์และวิธีกำจัดทุกข์ ซึ่งเป็นการทำให้ตัวเองเจ็บปวดทุกข์ทรมานและการกระทำของเขาตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาสอน ในขณะที่เขาได้ละทิ้งครอบครัวของตัวเองรวมไปถึงภรรยาและลูก ๆ ซึ่งเป็นการสร้างความยากลำบากให้กับพวกเขาเหล่านั้นเพื่อที่จะติดตามภารกิจของตัวเอง
ข้อสรุปของข้าพเจ้า ศาสนาพุทธรูปแบบที่ง่ายที่สุดของศาสนาดูเหมือนจะเป็นความเห็นแก่ตัวเพราะถึงแม้ว่ามันอาจจะอยู่บนพื้นฐานของเมตตาธรรมปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพ เป็นการปฏิบัติเพื่อประโยชน์ส่วนตนเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาความทุกข์ส่วนตัวของคนอื่น ๆ ซึ่งวิธีทำความดีบางสิ่งบางอย่างเพื่อประโยชน์ของตนเอง เรียกกันว่า นิพพาน
ดังนั้นถ้าจุดหมายและแรงจูงใจสูงสุดสำหรับพุทธศาสนิกชนคือกำจัดทุกข์ ถ้าเช่นนั้นความดีงามจากการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ก็ต้องถูกมองว่าเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้ประสบผลสำเร็จเท่านั้น
แต่พระเยซูคริสต์มีอีกวิธีหนึ่งเพื่อมวลมนุษย์ นั่นก็คือพระองค์มาเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างไม่เห็นแก่ตัวมากกว่ามาเพื่อขอความช่วยเหลือในการอุทิศชีวิตพระองค์เพื่อเป็นค่าไถ่แก่เราทั้งหลาย
ท้ายนี้จากวิธีคิดตามหลักพุทธธรรม แนวคิดของการพิจารณาตัดสินมาจากกฏแห่งกรรมและการกลับชาติมาเกิด
สำหรับข้าพเจ้าแล้วเหมือนเป็นคำพูดที่มาจากการเอาคำที่มีความหมายตรงกันข้ามมารวมกัน เพื่อให้เชื่อว่าการเนรเทศองค์ดาไล ลามะผู้นำทางจิตวิญญาณที่น่านับถือหรือการข่มขืนแม่ชีชาวพุทธในธิเบตโดยจีนคอมมิวนิสต์นั้นเป็นผลมาจากกรรมที่ทำไว้แต่ชาติปางก่อน
ข้าพเจ้ายังสงสัยอีกว่ากฏแห่งกรรมนี้กลายมาเป็นสิ่งที่นำมาจัดการในผู้ที่ไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า ปฏิเสธต่ออำนาจสูงสุดได้อย่างไร และยังมีใครอื่นอีกสามารถดัดแปลงกฏแห่งความเชื่อนี้ได้ จากทั้งหมดนี้คงต้องมีใครสักคนตัดสินใจแน่วแน่และประเมินการทำงานของกฏที่ละเอียดอ่อนนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งรูปแบบของกฏที่มีระเบียบแบบแผน นี่อาจทำให้ผู้มีอำนาจสูงสุด ผู้รอบรู้ ผู้ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งซึ่งเรียกตัวเองว่าพระเจ้าให้คอยตรวจสอบเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ยาก ดังนั้นจะสามารถปฏิเสธได้อย่างไรเล่าว่าพระเจ้ามีอยู่จริง
นอกจากนี้ถ้านิพพานเป็นความสำเร็จสูงสุดและชะตากรรมสุดท้ายเพื่อให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว เราจะสามารถมั่นใจอย่างแน่นอนในภาวะที่เป็นอยู่นี้ได้อย่างไร
มีใครเคยตรวจสอบเรื่องนิพพานและกลับมาเล่าเรื่องราวของพวกเขาหรือไม่ นี่คือประสบการณ์จริงหรือมาจากการเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตากันแน่ ข้าพเจ้าเคยเขียนบันทึกผ่านทางเว็บไซต์เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตหลังความตายหรือเฉียดตายซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์และน่าสนใจสำหรับคุณ
ในการตอบคำถามปรัชญาแห่งศาสนาพุทธ ข้าพเจ้าต้องการที่จะนำเสนอมุมมองทางเลือกซึ่งพูดเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นแสงสว่างให้กับโลกและผู้ซึ่งให้แสงไฟนำทางแก่มนุษย์ทุกคนและถ้าพวกเราเชื่อพระองค์ว่าเป็นทั้งพระเจ้าและผู้ไถ่บาป พระองค์ท่านจะนำพาเราให้พ้นจากโลกแห่งความทุกข์ทั้งหมดทั้งปวง ไม่ใช่ด้วยการพยายามด้วยตนเองอย่างลำบากยากเข็ญเพื่อให้เข้าสู่ภาวะลึกลับไร้สติหากแต่เป็นการนำพาเราไปสู่สุขคติบนสรวงสวรรค์ต่างหาก
ข้าพเจ้าเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระเยซูมากกว่า 20 ปีมาแล้วและพระองค์ได้ทรงเปลี่ยนชีวิตของข้าพเจ้าครั้งยิ่งใหญ่และเติมความปรารถนาที่จะดำรงชีวิตอยู่ให้กับข้าพเจ้ามากกว่าบันดาลใจให้ข้าพเจ้าดูแคลนการมีชีวิตอยู่เพียงชั่วคราว
ถ้าคุณชอบ คุณสามารถหาอ่านเกี่ยวกับคำสาบานตนของข้าพเจ้าได้ที่
คำสาบานตนของข้าพเจ้าต่อพระเจ้า
และอีกประเด็นค้านอันหนึ่งก็คือไม่ว่าศาสนาพุทธสำเร็จทางด้านวิชาการอะไรก็ตาม ความสำเร็จนั้นมาจากสถาบันการสอนแนวคิดแบบฮินดู
พระพุทธเจ้าอาจจะหันเหมาจากศาสนาฮินดู แต่ก็ยังเป็นฮินดูตั้งแต่เกิด มีชีวิตอยู่และเสียชีวิต และจากนั้นค่อย ๆ กลายพันธุ์เป็นศาสนาพุทธซึ่งก็ยังคงมีความคล้ายคลึงกับศาสนาฮินดูที่เป็นศาสนาแม่
นอกจากนั้นแล้วต้นโพธิ์ในศาสนาพุทธเป็นรากฐานอย่างเหนียวแน่นจากศาสนาฮินดูซึ่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงค้ำจุนโครงสร้างที่สำคัญเพื่อผดุงไว้ซึ่งสิ่งที่มองเห็นได้ของศาสนาพุทธว่าเป็นสถาบันทางศาสนา
อีกนัยหนึ่ง ถึงแม้ว่ามีความหลากหลายในความเชื่อระหว่างความคิดและค่านิยมของทั้งสองศาสนานี้ แต่ก็คงจะไม่มีศาสนาพุทธเกิดขึ้นถ้าไม่มีการแนะแนวจากผู้รู้ชาวอินเดีย ดังนั้นจึงขาดการริเริ่มไม่มีต้นกำเนิดของพระพุทธเจ้าซึ่งได้ใช้ตามชื่อเรียกมากกว่าความมีเอกลักษณ์จากแหล่งอื่นเสียเป็นส่วนใหญ่
ดังนั้นคุณต้องการเอาไข่ที่โขมยมาทั้งหมดวางไว้ในตะกร้าสามใบตามคำสอนของพุทธศาสนาหรือคุณจะมอบความไว้วางใจต่อมือที่ปกป้องด้วยความรักและความกรุณาของพระเจ้าผู้ซึ่งปรารถนาดีต่อคุณและสร้างคุณขึ้นมาเพื่อให้คุณได้มีชีวิตและเป็นชีวิตที่พรั่งพร้อมกันแน่
กล่าวโดยสรุปข้อโต้แย้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับว่าใครมีหลักปรัชญาและแสดงออกตามแนวคิดค่านิยมที่ดีที่สุดหากแต่เกี่ยวกับการค้นหาความจริงและการยอมให้ความจริงนำทางพวกเราไปสู่เส้นทางที่อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ พระเยซูนำแสงสว่างส่องทางมาให้มวลมนุษย์แต่ถ้าแสงสว่างเดียวที่คุณมีอยู่กลับเป็นความมืดสนิทแล้วนั้นคุณจะมองเห็นเส้นทางของคุณได้อย่างไรกันเล่า
ซึ่งพระคัมภีร์ได้ให้กำลังใจแก่เราว่าพระวจนะของพระองค์เป็นตะเกียงแก่เท้าของข้าพระองค์
สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าหวังว่าถ้อยคำของข้าพเจ้าคงไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นการละเมิดทางวาจาและความคิด คำพูดของข้าพเจ้าอาจจะแข็งกระด้าง ข้าพเจ้ามีแรงจูงใจอย่างแท้จริงที่บังคับให้ข้าพเจ้าทำหน้าที่ตรงนี้เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ๆ ข้าพเจ้าต้องขอโทษอีกครั้งถ้าข้าพเจ้าอาจดูไม่ให้ความเคารพหรือทำให้คุณไม่พอใจโดยไม่ตั้งใจ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะพูดเกี่ยวกับสิ่งนี้ในท่าทีที่สุภาพอ่อนโยนแต่ยังคงสื่อสารแนวคิดสำคัญอย่างจริงจังให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
และข้าพเจ้าเชื่อเช่นเดียวกับพุทธศาสนิกชนเช่นกันว่ามีกฏสามัญสำนึกผิดชอบชั่วดี อุดมคติเหล่านี้เป็นสายใยเข้มแข็งในกรอบหลักของการมีชีวิตอยู่ของเราซึ่งพระเจ้าสื่อสารความจริงมายังส่วนที่อยู่ภายในของเราเพื่อที่ว่าพวกเรารู้โดยสัญชาตญาณว่ามีผลตามมาและมีการพิพากษาต่อการตัดสินใจของชีวิตเรา และนี่เป็นสิ่งที่น่าเคารพนับถือ ในขณะที่ศาสนาพุทธได้บอกให้ทราบเพียงเล็กน้อยว่า การฝึกทำใจให้สงบอย่างมีสติโดยผ่านการฝึกทางศาสนาด้วยความพยายามของตนเองเป็นเพียงพฤติกรรมตบตาความจริงที่ว่าตนได้มีสัมพันธภาพกับพระเจ้าผู้ซึ่งสามารถกำจัดภาระความผิดซึ่งมวลมนุษย์ได้พยายามอย่างมากเพื่อที่จะดับมันด้วยความพยายามของตัวเอง
ในท้ายนี้ข้าพเจ้าอยากจะขอให้คุณได้ลองพิจารณาดู คล้ายดั่งคำเชิญชวนให้ลองลิ้มรสและมองดูว่าพระเจ้านั้นดี และเปิดหัวใจของคุณให้ได้ค้นพบพระเจ้าและภาระของพระเยซูคริสต์
สรุปแล้วข้าพเจ้าอยากจะอำลาท่านด้วยพระวจนะของพระเยซูจากพระคัมภีร์ในเล่ม มัทธิว 11:28-30 28 ว่า “ บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเราเพราะเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ เพราะว่าเรามีใจอ่อนสุภาพและถ่อมลงและท่านทั้งหลายจะพบที่สงบสุขในใจของตน ด้วยว่าแอกของเราก็แบกง่ายและภาระของเราก็เบา ”
ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ
Copyright permission by Bridge-Logos “The School of Biblical Evangelism”