Archive for the ‘ภาษาไทย-Thai’ Category

พิธีการชำระล้างและทำให้บริสุทธิ์

Friday, October 24th, 2014

เมื่อท่านเห็นศาสนาใหญ่มากมายในโลกท่านจะเห็นพิธีกรรมกรรมการชำระล้างที่เข้ากับเหตุการณ์ในชีวิตปกติเช่น การเกิดของเด็กและการตาย รวมทั้งในกิจกรรมธรรมดาตามประสบการณ์ของมนุษย์เช่นการมีประจำเดือน ท้องอืด การนอน การสัมผัสทางเพศ การหมดสติ การหลั่งเลือด อสุจิ อาเจียน และ โรคภัย ฯลฯ

พิธีการทำให้บริสุทธิ์เหล่านี้บางอันรวมถึงการอาบน้ำ เช่นที่ทำกันในระหว่างความเชื่อบาไฮ ขณะที่คนอื่น ๆ ชอบที่ให้ร่างกายของตนเองลงไปจุ่มท่วมทั้งตัวในแม่น้ำ

สำหรับชาวยิวพิธีกรรมนี้รวมถึงการล้างมือและมิควาห์ในขณะที่ชาวมุสลิมมีกหัสล์และวูดู การอาบน้ำของชาวฮินดูในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์คงคา และ การทำ อัคามานา และ ปุนยาฮาวาชานัม ชาวชินโตทำมิโซจี และ ชาวพื้นเมืองอเมริกันอินเดียนมีสเวทลอจ์ด

แม้ว่าศาสนาเหล่านี้จะมีลำดับแห่งความแตกต่างในมุมมองของโลกมีความเหมือนหรือความคุ้นเคยเป็นดังการเกี่ยวพันกับรูปแบบของน้ำซึ่งสำหรับพวกเขามันนำความรู้สึกที่แท้จริงซึ่งบุคคลจะรู้สึกถึงความไม่สะอาดกับความตระหนักโดยกำเนิดว่าพวกเขาอยู่ในหนทางที่มีนัยสำคัญที่ไม่ด่างพร้อยดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องมีการชำระล้างเป็นดังสัญญลักษณ์โดยการกระทำเหล่านั้นโดยการใช้ตัวทำละลายสากลนี้เป็นดังวิธีในการทำให้บริสุทธิ์

การตระหนักในตนเองนี้พบในการแสดงออกในบางศาสนาที่กลับกลายมาเป็นทัศนคติต่อการที่จะมีความรู้สึกทางด้านจิตของความเป็นจริงที่เหนือธรรมชาติด้วยการศึกษาในเชิงเอกัตนิยมจากภาษิตเก่าแก่เกี่ยวกับความสะอาดที่เป็นอะไรที่ต่อจากความเลื่อมใสในศาสนา อย่างไรก็ตามที่จะกล่าวว่ามีความสัมพันธ์ในเชิงกายภาพหรือวัตถุที่ประยุกต์ใช้อยู่นี้มันเป็นสื่อที่มีผลสัมฤทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับความไม่พอใจหรือไม่พึงพอใจของพระเจ้าหรือเป็นดังโอกาสที่จะให้ปราศจากเชื้อโรค อาจจะเรียกว่า เป็นแก่นแท้จากพระเจ้าในการรับรองการไม่สร้างสรรดังเป็นความต้องการโดยเสมอที่จะต้องทำกิจกรรมบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยเป็นวงจรที่ไม่รู้จักจบสิ้นของการล้างซึ่งโดยธรรมชาติดูเหมือนว่าจะขาดความรู้สึกโดยสิ้นเชิงหรือผลสัมฤทธิ์ที่เพียงพอในการชำระล้างอย่างถาวร ปฏิกริยาเหล่านี้ต่อความต้องการในการทำให้สะอาดและศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนว่าจะพลาดการสร้างการเก็บสะสมบุญกุศลในขณะที่พวกเขามีชีวิตที่สั้นซึ่งเป็นการปฏิเสธด้วยความสั้นของกาลเวลาในขณะที่พวกเขากลับมาล้างตนเองตลอดไป ดังนั้นมันจึงปรากฎว่าความต้องการในการทำซ้ำ ๆ นี้ต้องเป็นการล้างอย่างหมดจดนั้นไม่สามารถเอาความรู้สึกในขั้นสุดท้ายนั้นออกไปได้ในขณะที่ยังทิ้งไว้ซึ่งบางแง่ของความไม่สะอาดและความจำเป็นของใครบางคนผู้ที่สามารถจะมาถึงจุดที่ไม่สามารถเอื้อมถึงนั้นได้ในอัตลักษณ์ของตนเองเป็นดังการขจัดมลทินของหัวใจมนุษย์ออกไป

อย่างไรก็ตามมีผลประโยชน์จากการปฏิบัติที่แท้จริงในทางสุขอนามัยเมื่อมีการอาบและล้างแต่เมื่อมาถึงเรื่องที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงภายในและภายนอกผ่านการทำทางกิริยานี้ซึ่งเป็นการล้างผิวภายนอกแต่ให้การรักษาลึกลงไป ซึ่งอาจจะเป็นการปรากฎออกมาอย่างจริงใจและชัดเจนที่เป็นรูปแบบของปรีชาญาณ แต่ยังไม่สามารถที่จะเจาะลึกลงไปเหนือระดับพื้นผิวที่เชื่อมต่อสิ่งที่โพ้นจากขอบเขตทางกายภาพที่เป็นวิญญาณที่ไม่ใช่วัตถุและอมตะในขณะที่มุ่งอุทิศไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีในด้านจิตใจของแต่ละปัจเจกบุคคล

รับไบเยซูอาได้กล่าวในวิธีการเช่นนี้ไปยังเพื่อนชาวยิวในเรื่องการปฏิบัติเช่นนี้

มัทธิว 15:1-2,11, 17-20
15 1เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มมาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลว่า 2’ทำไมศิษย์ของท่านละเลยขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษ? เขาไม่ล้างมือเมื่อรับประทานอาหาร
11สิ่งที่เข้าไปทางปากไม่ทำให้มนุษย์มีมลทิน แต่สิ่งที่ออกมาจากปากต่างหากทำให้มนุษย์มีมลทิน’
17ท่านไม่เข้าใจหรือว่าสิ่งต่างๆที่เข้าไปในปากย่อมลงไปในท้องแล้วถูกขับถ่ายลงท่อระบายไป 18แต่สิ่งที่ออกมาจากปากนั้น ออกมาจากใจ สิ่งเหล่านี้แหละทำให้มนุษย์มีมลทิน 19ใจเป็นที่เกิดของความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การมีชู้ การสำส่อน การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย 20การกระทำเหล่านี้ทำให้มนุษย์มีมลทิน ส่วนการรับประทานโดยไม่ล้างมือ ไม่ทำให้มนุษย์มีมลทิน’

จากความสกปรกของมนุษย์ในแง่อื่น ๆ ของเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความรู้สึกและความเข้าใจที่มีนัยสำคัญของการตระหนักที่ลึกกว่าเพื่อจะขจัดสิ่งมลทินของความผิดและความละอายที่เหลือจากความล้มเหลวทางศีลธรรม สิ่งนี้เตือนถึงละครเช็คสเปียร์ที่ท่านหญิงแมคเบธตะโกนว่า “ออกไป ไอ้จุดนรก” ซึ่งเกี่ยวข้องกับบทบาทของเธอต่อความตายของกษัตริย์ดุนแคนที่เป็นความต้องการที่จะขจัดลอยเลือดที่ติดบนผิวหนังบนมือของเธอ

ในบางแง่ของการกระทำพิธีการเหล่านี้มันกลับมาเป็นหนทางทางอ้อมผ่านการกระทำในการสารภาพอย่างเปิดเผยในขณะที่ยอมรับสภาพแห่งความรู้ตายของพวกเขาและดังนั้นการล้างจึงเป็นวิธีการตอบสนองต่อความสามารถของมนุษย์และความพยายามของตนเองต่อการทำงานที่ลึกลับให้เพียงพอต่อความล้มเหลวทางศีลธรรมของตนโดยแรงขับที่ทำขึ้นเพื่อทำความสะอาด อีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเชื่อว่าการผิดพลาดนี้เป็นการแสดงถึงประสิทธิผลโดยไม่คำนึงถึง ความตระหนัก ความปรารถนา ความศรัทธา และ ความร้อนรนของพวกเขาในการประกอบพิธีเหล่านี้เป็นดังหนทางที่เพียงพอในการคืนดีหรือทำสิ่งเหล่านี้ให้ถูกต้องผ่านความสามารถที่จำกัดและต้องพึ่งพาในองค์ประกอบแบบมนุษย์ในการกระทำแห่งความสำนึกถึงบาปผิดเพื่อจะชดเชยและทำให้สงบ การขอความกรุณา และ การยอมรับโดยหลายหลากวิธีการเหล่านี้ แม้ว่าถ้าสิ่งทั้งหมดนี้ที่มีความเป็นไปได้เมื่อมันได้มีความเพียงพอในการลบล้างสถานภาพของความไม่สะอาดและในบางระดับของการชำระล้างอันสามารถลบล้างลอยสักต่าง ๆ นั้นให้ออกไปซึ่งได้คงค้างอยู่ที่ลบไม่ออกบนหัวใจซึ่งสลักไว้ในจิตและวิญญาณด้วยความตายของทั้งการกระทำในอดีตและอนาคตนั้น

โดยสรุปแล้ว มีความรู้สึกสำนึกที่แท้จริงซึ่งดำรงอยู่ภายในมนุษย์ทุกคนที่เราได้ทำลายมาตรฐานของพระเป็นเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ในการระบุถืงความรู้สึกที่กำลังจะเกิดขึ้นของการพิพากษาในอนาคตสำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำการแก้ไขข้อขัดแย้งสำคัญนี้

โรม 2:14-16
14ดังนั้น เมื่อคนต่างชาติซึ่งไม่รู้จักธรรมบัญญัติ และประพฤติตามข้อกำหนดของธรรมบัญญัติจากสามัญสำนึก แม้พวกเขาจะไม่รู้จักธรรมบัญญัติ พวกเขาก็เป็นธรรมบัญญัติสำหรับตนเอง  15พวกเขาแสดงให้เห็นสิ่งที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ในใจตามมโนธรรมและบางครั้งความคิดตามเหตุผลที่กล่าวโทษก็ป้องกันพวกเขา  16ในวันที่พระเจ้าทรงตัดสินพิพากษาความคิดที่เร้นลับของมนุษย์ทุกคนด้วยเดชะพระเยซูคริสตเจ้า ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไว้

มนุษยชาติได้ดิ้นรนในการเกี่ยวข้องกับความตึงเครียดนี้ในการสร้างรูปแบบหรือการสร้างการสนทนาทางศาสนาที่เป็นภาพลวงของคติความเชื่อนี้เป็นดังการถางแนวทางในการค้นพบวิธีการนำไปสู่หนทางนี้ต่อการเห็นแจ้งในขณะที่ความเป็นศัตรูของคนโรคจิตที่ต่อต้านพระเจ้าที่หลอกลวงซึ่งปฏิเสธความจำเป็นที่จะจากบ้านของพวกเขาในขณะที่ท่องเที่ยวไปตามหนทางการสำรวจ ซึ่งจากความเชื่อของพวกเขาเอง นำไปที่ไหนก็ไม่ทราบดังศาสนาที่กลับกลายมาเป็นหนทางที่คนที่มีจิตใจอ่อนแอจนเป็นแบบโรคประสาทฟรอยด์แห่งความเพื้อฝันในการแสวงหาหนทางในการสร้างดินแดนที่ตนเชื่อว่ามีอยู่จริง ดังนั้นมันเป็นเรื่องที่ช่างน่าสนใจ ในแง่หนึ่ง มนุษยชาติได้พบวิธีที่จะตัดผ่านหรือจัดการกับสิ่งนี้ได้ในขณะที่ต้องจัดการกับตนเองในสิ่งที่เรียกร้องอย่างมีสติจากพระผู้สร้าง

ในการตอบสนองวิกฤตการณ์นี้ ข้าพเจ้าอยากแนะนำวิธีการแก้ไขโดยวิธีของบุคคลและภารกิจของพระคริสต์ผู้ที่ไม่เหมือนกับในศาสนาอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความพยายามของมนุษย์ที่จะแสวงหา การเข้าถึง หรือ การมาถึงพระเป็นเจ้าแต่เป็นเรื่องที่พระเป็นเจ้าเองแสวงหามายังมนุษย์ในการสร้างสัมพันธ์และมีการตอบรับในความไว้วางใจจากทั้งสองฝ่าย สิ่งนี้ไม่ได้เป็นไปตามความแข็งแกร่ง หรือ ในเรื่องของความอ่อนแอของความสามารถทางบุคคลของมนุษยชน แต่เป็นเรื่องของความสะอาดและบริสุทธิ์ที่ได้รับประทานมาเป็นพระคุณที่ได้รับมาฟรี เป็นผลจากการเป็นผู้ที่ติดตามและนมัสการซึ่งพระเป็นเจ้าเอง และไม่ใช่เรา ทำให้เกิดขึ้น

ทีตัส 3:5
5พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นมิใช่เพราะกิจการชอบธรรมใด ๆ ที่เรากระทำ แต่เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ ทรงใช้น้ำชำระเราให้สะอาด เราจึงเกิดใหม่และได้รับการฟื้นฟูโดยพระจิตเจ้า

โรม 6:23
23เพราะ ค่าตอบแทนที่ได้จากบาปคือ ความตาย ส่วนของประทานที่พระเจ้าประทานให้เปล่า คือชีวิตนิรันดรในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

เอเฟซัส 2:8-9
8ท่านได้รับความรอดพ้นเพราะพระหรรษทานอาศัยความเชื่อ ความรอดพ้นนี้มิได้มาจากท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า  9มิได้มาจากการกระทำใด ๆ ของท่าน เพื่อมิให้ใครโอ้อวดตนได้

1 ยอห์น 1:7
7แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตในความสว่างดังที่พระองค์ทรงดำรงอยู่ในความสว่างแล้ว เราทุกคนก็สนิทสัมพันธ์กันด้วยและพระโลหิตของพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราให้สะอาดจากบาปทั้งปวง

1 ยอห์น 1:9
9พระองค์ทรงซื่อสัตย์และทรงเที่ยงธรรม   ถ้าเราสารภาพบาปพระองค์จะทรงอภัยบาปของเรา

และจะทรงชำระเราให้สะอาดจากความอธรรมทั้งปวง

ท่านอาจจะต่อต้านความเชื่อในคริสตศาสนาในการไม่เป็นคนที่มีความแตกต่างไปมากกว่ารูปแบบการแสดงออกของทางศาสนาโดยพิธีศักดิ์สิทธิ์ในการล้างด้วยน้ำล้างบาปและในส่วนนั้น ข้าพเจ้าอาจจะเห็นด้วยกับท่านว่ามันไม่ได้เป็นอะไรแค่เพียงการอาบน้ำและการผ่านในเคลื่อนไหวในการระบุตัวตนเข้ากับศาสนจักรแต่ผู้ที่โดยแก่นแท้เป็นผู้ที่ไม่สะอาดเป็นดังผู้ที่มีความเชื่อจอมปลอม ศีลล้างบาปที่แท้จริง อันเป็นแก่นแท้แห่งความเชื่อ เป็นการรับใช้ขั้นแรกที่เป็นสัญญลักษณ์หรือสัญลักษณ์ภายนอกที่มีประสิทธิภาพและพลังในการชำระล้างของโลหิตแห่งชีวิตของพระเยซูที่สมบูรณ์และมีค่ายิ่งซึ่งชำระให้บริสุทธิ์และชำระบาปของผู้ที่เชื่อทั้งสิ้นในการประกาศอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรมและเป็นการเข้ากับการลงมาของพระจิตเจ้าที่เปลี่ยนตัวบุคคลผู้ที่ผ่านกระบวนการสร้างใหม่ที่นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ภายใน ดังนั้นการกระทำในศีลล้างบาปคือพยายามหรือประจักษ์พยานที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการรวมขององค์ประกอบของไฮโดรเจนและอ๊อกซิเจนเพื่อจะได้ประโยน์จากของเหลวแต่มันเป็นการผ่านงานช่วยให้รอดของพระคริสต์และน้ำทรงชีวิตของพระจิตเจ้าที่เป็นดังเครื่องผลิตกระแสไฟที่อยู่ภายในตัวบุคคลที่ปรากฎมีหลักฐานโดยการเปลี่ยนแปลงในหัวใจและชีวิต เป็นพระเป็นเจ้าเองที่ประทานของขวัญที่ดีแห่งความรอดนี้และพระจิตเจ้าซึ่งไม่ได้ดำรงอยู่โดยผ่านความพยายามของมนุษย์ผู้ล้างบาปที่ใส่ลงไปและดังนั้นน้ำล้างบาปจึงกลับกลายมาเป็นเสี้ยวหนึ่งของความเป็นจริงของสวรรค์ของอำนาจของพระเป็นเจ้าในครรถ์นี้เหมือนกับการทำกิจกรรมให้การให้กำเนิดใหม่ให้กับบุคคล ไม่ได้เป็นการเกิดใหม่ของเจตจำนงมุนษย์ หรือ ต้นกำเนิดใหม่ เช่นในกิจกรรมทางศาสนาต่าง ๆ แต่เป็นการผ่านการสนิทชิดใกล้กับพระเป็นเจ้าในการเกิดมาจากเบื้องบนและเกิดใหม่อีกครั้งผ่านทางพระคริสต์และพระจิตเจ้า การเกิดใหม่นี้ไม่สับสนกับการเกิดใหม่ในทางฮินดู และ ทางพุทธในเรื่องความคิดรวบยอดของการเวียนว่ายตายเกิด แต่เป็นผลจากงานของพระคริสต์ผู้ที่ส่งพระจิตเจ้าเป็นดังสิ่งที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่พระองค์ทรงเริ่มทำก่อนโดยติดตามด้วยการกระทำที่ตอบสนองของความเชื่อหรือความไว้วางใจในความรอดของพระองค์

พระวรสารเหมือนกับความจริงนี้ที่มีพื้นฐานจากการไถ่บาปในอนาคตของชาวอิสราเอลตามคำเล่าของประกาศกชาวฮีบรู

เอเซเคียล 36:25-27
25เราจะเอาน้ำสะอาดพรมเจ้า และเจ้าจะสะอาดพ้นจากมลทินทั้งหลายของเจ้า และเราจะชำระเจ้าจากรูปเคารพทั้งหลายของเจ้า26เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้า และเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และจะให้ใจเนื้อแก่เจ้า27และเราจะใส่วิญญาณของเราภายในเจ้า และกระทำให้เจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และเจ้าจะรักษาคำตัดสินของเราและกระทำตาม

รับไบเยชัวกล่าวมันในวิธีการนี้ระหว่างการฉลองกระโจมหรือสุคคตใน

ยอห์น 7:37-39
37ในวันสุดท้ายของเทศกาลอยู่เพิงซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุด พระเยซูเจ้าทรงยืนและทรงประกาศเสียงดังว่า’ผู้ใดกระหาย จงมาหาเราเถิด! 38ผู้ที่เชื่อในเรา จงดื่มเถิด!ตามที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “ลำธารที่ให้ชีวิตจะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น”‘ 39พระเยซูเจ้าตรัสดังนี้หมายถึงพระจิตเจ้า ซึ่งผู้ที่เชื่อในพระองค์จะได้รับ แต่เวลานั้นพระเจ้ายังมิได้ประทานพระจิตเจ้าให้ เพราะพระเยซูเจ้ายังมิได้รับพระสิริรุ่งโรจน์

ชาวยิวโบราณในแง่ที่ดีที่สุดมีความพึงพอใจชั่วคราวในการทำหน้าที่ในจารีตพิธีต่อพระเป็นเจ้าและดังที่ระบุใน ฮีบรู 10 สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสัญลักษณ์แต่ไม่ใช่ความเป็นจริงในตัวมันเองดังที่การถวายของพระคริสต์ในการชำระล้างของพวกเราที่มอบให้เพียงครั้งเดียวสำหรับตลอดไปเป็นการถวายบูชานิรันดรเป็นดัง “ลูกแกะของพระเป็นเจ้า” ผู้ที่ลบล้างบาปของโลก การกล่าวว่าชาวยิวไม่ต้องการการถวายบูชาในทุกวันนี้ที่เป็นจารีตของการภาวนา การจำศีลอดอาหาร และ กิจการดีที่จะเพียงพอในการเป็นการที่ทำให้พึงพอใจเป็นกิจกรรมที่ละเมิดและเป็นกบฎต่อพระวาจาที่บันทึกไว้เป็นดังการปฏิเสธต่อการเสร็จสมบูรณ์ของโตราห์ใน

เลวีนิต 17:11
11เพราะ‍ว่า​ชีวิต​ของ​สัตว์​ทุก​ตัว​อยู่​ใน​เลือด เรา​ได้​ให้​เลือด​แก่​เจ้า​ทั้ง‍หลาย​เพื่อ​ใช้​บน​แท่น‍บูชา เพื่อ​จะ​ลบ​มลทิน​ของ​เจ้า​ทั้ง‍หลาย เพราะ‍ว่า​โลหิต​เป็น​สิ่ง​ที่​ใช้​ลบ​มลทิน เพราะ​ชีวิต​เป็น​เหตุ

ไม่ว่าท่านจะทำ มิทซว๊อทมากมายแค่ไหนสิ่งที่แน่นอนคือท่านได้ทำเพียงพอหรือบาปของท่านได้รับการอภัยหรือไม่ นอกเหนือไปจากการบูชาของพระเป็นเจ้าที่ทรงประทานให้แห่งความเมตตาและพระพรผ่านทางพระแมสซีอาห์ใน อิสยาห์ 53?

เช่นเดียวกับเพื่อนมุสลิมของข้าพเจ้าที่ปฏิเสธความตายของพระเยซูว่าเป็นดังลักษณะที่คล้ายกันของความผิดพลาดในการทำหน้าที่ทางประกาศกทั้งสิ้นที่พลาดประเด็นที่ว่าสิ่งนี้เป็นแผนการแห่งพระสิริมงคลของพระเป็นเจ้าที่จัดหารูปแบบของอับราฮัมในชดเชยการไถ่โทษความผิดของพระแมสซีอาห์ซึ่งยอมรับการดูหมิ่นและความอับอายชั่วคราวเป็นดังความประสงค์และโอกาสแห่งความยินดีเมื่อทรงรับทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนในการนำหลาย ๆ คนไปสู่สิริมงคล ฮีบรู 2:9-18; 12:2.

การตรึงกางเขนของพระเยซูคริสต์และอิสลาม

ในตอนจบ พระเยซูสามารถประทานน้ำทรงชีวิตซึ่งทำให้วิญญาณของท่านพึงพอใจและทำให้สดชื่นได้โดยสมบูรณ์และเต็มเปี่ยมและแม้แต่พระบิดาเจ้าสวรรค์สามารถนำท่านมาสู่น้ำนี้ พระองค์ไม่ทรงบังคับให้เราดื่มมัน ดังนั้นในที่สุด ข้าพเจ้าขอให้กำลังใจเพื่อนของข้าพเจ้า เช่นเดียวกับหญิงชาวซามาริทัน เพียงแต่ขอน้ำทรงชีวิตนี้ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการดับความกระหายทางด้านจิตวิญญาณ ของท่านนอกเหนือไปจากศาสนา ลัทธิ และปรัชญาผิด ๆ อื่น ๆ ที่ไม่เพียงแต่ปล่อยให้ท่านไม่ได้รับความช่วยเหลืออะไรและยังคงกระหายอยู่อีกเท่านั้น

ยอห์น 4:10, 13-14
10พระเยซูเจ้าตรัสตอบนางว่า”หากท่านรู้จักของประทานของพระเจ้าและรู้จักผู้ที่บอกท่านว่า’ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด’  ท่านคงกลับเป็นผู้ขอและผู้นั้นจะให้ “น้ำที่ให้ชีวิต” แก่ท่าน” 13พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่าทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก 14แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้นั้นจะไม่กระหายอีกน้ำที่เราจะให้แก่เขาจะกลายเป็นธารน้ำในตัวเขา ไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร”

มธ. 11:28-30
28’ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน 29จงรับเอาแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน จิตใจของท่านจะได้รับการพักผ่อน 30เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา’

 

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

Ritual cleansing and purification

แหล่งข้อมูลของพุทธศาสนิกชน

Friday, January 18th, 2013

สี่กฏด้านจิตวิญญาณ

 

ภาพยนตร์เกี่ยวกับพระเยซู

 

พันธสัญญาใหม่ / พระคัมภีร์ไบเบิล

www.wbtc.com/site/PageServer?pagename=downloads_thai

 

พระคัมภีร์เสียง

www.faithcomesbyhearing.com/projects/streaming_player/widget-iframe.php?bible_id=THATSVN2DA

คำสาบานตนของข้าพเจ้าต่อพระเจ้า

Thursday, January 17th, 2013

สวัสดีครับ ข้าพเจ้าชื่อร็อบ มาจากรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ข้าพเจ้าขอเล่าเกี่ยวกับตัวข้าพเจ้าให้ท่านทราบสักเล็กน้อย โดยปกติแล้วข้าพเจ้ามักจะเริ่มต้นด้วยการแบ่งปันคำสาบานตนเกี่ยวกับความศรัทธาของตัวเองที่มีต่อพระเจ้าให้อ่านก่อนอยู่เสมอซึ่งมันมีความสำคัญต่อข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก ประมาณยี่สิบกว่าปีที่แล้วข้าพเจ้าได้ฟันฝ่าผ่านช่วงเวลาที่มีแต่ความว่างเปล่าและไร้ประโยชน์จริง ๆ เมื่อข้าพเจ้าเกิดศรัทธาในพระเยซูคริสต์ พระองค์ท่านได้เติมเต็มชีวิตของข้าพเจ้าให้สมบูรณ์และในขณะนี้ข้าพเจ้ามีความรัก ความสุขและสันติภาพมากกว่าที่โลกนี้เคยให้แก่ข้าพเจ้า พระองค์คือความรักและชีวิตของข้าพเจ้า

ถ้าหากข้าพเจ้าไม่ได้ผ่านประสบการณ์จริงมาก่อน ข้าพเจ้าอาจจะล้มเลิกความตั้งใจไปนานแล้วและอาจคงเริ่มต้นค้นหาวงเวียนแห่งศรัทธาอื่น ๆ อยู่ก็ได้ สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตของข้าพเจ้าก็คือว่าข้าพเจ้าย่างก้าวเข้ามาสู่สัมพันธภาพส่วนตัวกับพระผู้เป็นเจ้าซึ่งอยู่นอกเหนือจากกรอบของศาสนาหรือปรัชญาใด ๆ บางสิ่งบางอย่างซึ่งเป็นจริงและสัมผัสได้ คือเมื่อข้าพเจ้ามาถึงจุดที่ต้องมีศรัทธาแน่วแน่ในชีวิต พระองค์ได้เปลี่ยนแปลงข้าพเจ้าอย่างสมบูรณ์และรวดเร็ว การกระทำ ความคิดและความเชื่อของข้าพเจ้าถูกเปลี่ยนอย่างถาวร ข้าพเจ้าไม่เหมือนเดิมและคงไม่ปฏิเสธว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจน

ข้าพเจ้าได้เกิดใหม่อีกครั้งและในตอนนี้ข้าพเจ้าได้รู้ว่ามันไม่ใช่แค่เพียงช่วงเวลาหนึ่งในคริสตจักร ข้าพเจ้าได้เกิดใหม่อีกครั้งแล้วในคริสตจักร บัดนี้การเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิตของข้าพเจ้ามีการพัฒนาขึ้นแล้วบ้าง แต่บางอย่างก็พัฒนาอย่างรวดเร็วทันใจ ข้าพเจ้าได้พบพระเจ้าจากสิ่งที่ท่านได้ประทานมาให้ในชีวิตของข้าพเจ้าซึ่งเกินกว่าความสามารถตามธรรมชาติของข้าพเจ้าจะฟันฝ่าได้ พระเยซูคริสต์ประทานความแข็งแกร่งในการเอาชนะมิติที่กว้างใหญ่ของบาปที่ซึ่งประกอบด้วยทุก ๆ สิ่ง เริ่มจากสารนิโคติน ไปสู่การผิดทำนองคลองธรรม ณ จุดที่ต้องมีศรัทธาแน่วแน่นี้เอง ข้าพเจ้าได้เห็นภรรยาของข้าพเจ้ารักษาตัวหายจากโรคไตเสื่อมและลูกชายของข้าพเจ้าหายจากโรคหืดหอบ ถ้าทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้นำเสนอต่อท่านในจุดนี้เป็นเพียงแค่อีกหนึ่งความคิดเห็นแล้วล่ะก็ ข้าพเจ้าจะไม่ให้ท่านต้องเสียเวลามาอ่านคำสาบานตนของข้าพเจ้าเป็นแน่

คุณอาจจะพูดว่าฉันไม่เชื่อคุณหรอกหรือถ้าจะให้ดีที่สุดอยากให้คุณคิดว่าข้าพเจ้าจริงใจแต่เป็นผิดอย่างจริงใจ แต่ไม่ว่าจะคิดแบบไหนก็ตาม สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากขอร้องต่อคุณก็คือร้องขอพระเจ้าอย่างจริงใจและซื่อสัตย์เพื่อให้พระองค์เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ต่อคุณ อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าขอขอบคุณอีกครั้งที่มาอ่านและข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้พระเจ้าคุ้มครองคุณด้วยเถิด

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

jesusandjews.com/wordpress/my-personal-testimony-with-jesus/

 

พระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐ

Thursday, January 17th, 2013

สำหรับบางคนแล้ว พระพุทธเจ้าเป็นพระเจ้าแต่ถ้าให้เรียกจริง ๆ ก็คือเจ้าชายสิทธัตถะ โคตรมะ ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้าและด้วยเหตุนี้พระองค์เองก็ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นเทพเจ้า สำหรับคนอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกับพระพุทธเจ้า ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ข้าพเจ้าอยากเชิญชวนท่านให้พิจารณาข้อโต้แย้งทางเจตจำนงและทางจักรวาลวิทยาซึ่งข้าพเจ้าได้เขียนไว้ในบทความก่อนหน้านี้ของข้าพเจ้า

Atheist and Agnostic

ถ้าพวกเราสามารถสรุปได้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง ถ้าเช่นนั้นพวกเราควรมองไปยังพระองค์ราวกับได้รับความคิดและความเข้าใจที่แท้จริงในการนำพาชีวิตของพวกเราแทนที่เหล่าผู้รู้ทั้งหลายและพระพุทธเจ้า

สำหรับใครที่เคารพนับถือพระพุทธเจ้านั้น พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าถูกดำรงรักษาไว้เป็นอย่างดีเพราะคำสอนไม่ได้ถูกจัดพิมพ์ไว้จนกระทั่งสี่ร้อยปีภายหลังที่พระพุทธเจ้าสวรรคต ทำให้มีเวลาเหลือเฟือที่จะเสริมเติมแต่งเนื้อหาคำสอนของพระพุทธองค์จากปากต่อปากซึ่งเป็นการเปิดประตูไปสู่เรื่องเล่าตามจินตนาการ และในส่วนที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ควรจะสอนไว้ว่าถ้าใครไม่เห็นคุณค่าความเป็นไปที่แน่นอนตามคำสอนของพระองค์ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องมาสนใจ ดังนั้นจะสามารถอ้างสิทธิว่ารู้ความจริงแต่ไม่ยอมพิสูจน์ตัวเองในเชิงวัตถุวิสัยได้อย่างไร

นอกจากนี้คำสอนของพระพุทธเจ้ามีผลทำให้เกิดแบบแนวการสอนที่มีความคิดแตกต่างกันและหลากหลายนิกายซึ่งยึดหลักมุมมองที่ต่างกันออกไป

บางทีนี่อาจเป็นเพราะว่ามีข้อแตกต่างมากมายซึ่งพบได้ตามแหล่งข้อมูลที่แตกต่างจำนวนมาก ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะเป็นไปได้ที่จะทำให้ความแตกต่างเหล่านี้กลมกลืนเข้ากันได้กับข้อความพระคัมภีร์

ข้าพเจ้ายังคงสงสัยอีกว่าตัวพระพุทธเจ้าเองจะสามารถจดจำข้อความทั้งหมดซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของตัวเองได้เช่นนั้นหรือ

อย่างไรก็ตามคำถามที่ยังดังก้องอยู่ก็คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานจริง ๆ หรือไม่ เขาหรือคนอื่น ๆ รู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาบรรลุตามจุดประสงค์ในสภาวะที่เป็นอยู่หรือไม่ และอะไรคือเครื่องมือที่ใช้วัดความถนัดทางด้านจิตวิญญาณของคน การอ้างสิทธิเรื่องการตรัสรู้อาจเป็นความเข้าใจผิดในเรื่องการตรัสรู้ก็ได้เพราะไม่มีเกณฑ์ซึ่งใช้เป็นมาตรฐานต่อสภาวะจิตวิญญาณนี้

แม้แต่ตัวพระพุทธเจ้าเองยังไม่สามารถอธิบายหรือนิยามคำแห่งความสุขเช่นคำว่านิพพานได้ ยกเว้นพูดแต่ว่ามันไม่ใช่นิพพาน ถ้าหากผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไม่สามารถให้คำนิยามโชคมหาศาลในสิ่งที่ตรัสรู้ได้แล้ว ผู้คนจะมั่นใจได้อย่างไรว่านี่เป็นสภาพของความเป็นจริง

เป็นไปได้หรือไม่ว่ามุมมองทางโลกของศาสนานี้เป็นเพียงการโกหกหรือหลอกลวงซึ่งผลก็คือทำให้เสียเวลาอันมีค่าในชีวิตไปกับปรัชญาที่ไม่มีคุณค่าและมองโลกในแง่ร้ายที่ทำลายความปรารถนาแห่งชีวิตของคนมากกว่าการแสวงหาความสุขความกระจ่างของการฉลองของขวัญเพื่อชีวิต

ในความเป็นจริงแล้วกิเลสไม่สามารถถูกดับได้และแม้แต่พระภิกษุผู้ซึ่งปฏิบัติตามกฏวินัยของสงฆ์ก็ยังคงมีกิเลสที่จะสนับสนุนหลักคำสอนอริยสัจ 4 และปฏิบัติตามวิจัยสงฆ์แปดข้อเพื่อที่จะประสบผลสำเร็จสู่นิพพานตามที่ต้องการ

ปรัชญาที่ปฏิเสธตัวเองนี้อาจเข้ากันได้ดีกับความคิดแบบพุทธ อย่างไรก็ตามจริง ๆ แล้วผู้คนเหล่านี้ใช้ชีวิตตามหลักปฏิบัตินี้จริงหรือไม่

เช่นเดียวกันว่าจะสามารถพิสูจน์ความคิดที่เป็น อนัตตา ได้อย่างไร ในการวิคราะห์ขั้นสุดท้ายก็คือนี่เป็นเพียงแค่คำพูดและศัพท์แสลงทางด้านศาสนาที่ไร้สาระหรือเป็นเรื่องจริงกันแน่ ชีวิตทั้งชีวิตถูกตีความว่าเป็นความจริงที่กำกวมของเงาเคลื่อนไหวปราศจากซึ่งแนวคิดที่มั่นคงและมีเสถียรภาพใช่หรือไม่ อยากถามอีกครั้งว่าชาวพุทธศาสนิกชนใช้ชีวิตอยู่กับอุดมคติดเหล่านี้และสิ่งนี้แสดงให้เห็นชีวิตประจำวันจริง ๆ ของพวกเขาใช่หรือไม่

ในการดำเนินการตอบโต้ต่อความสำคัญของการหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานของปรัชญานี้ก็คือส่วนของสมการติดลบต่อปริมาณสุขนิยมซึ่งพยายามให้มีความสุขมากที่สุดในขณะที่ทำให้มีความเจ็บปวดน้อยที่สุด

ลองพิจารณาดูในแง่ของความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน แนวคิดนี้สามารถเข้าใจได้ถ้ามีเหตุมีผลของความยินดีและความดี มิฉะนั้นพวกเราไม่มีอะไรที่จะเชื่อมโยงต่อสิ่งที่เป็นคำนิยามของความเจ็บปวดและทรมาน ดังนั้นถ้าระดับของความดีและความสุขสามารถบรรลุได้ มันไม่น่าชื่นชมมากไปกว่าการหลีกเลี่ยงที่จะมองดูแก้วที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่งแทนที่จะมองเห็นความว่างเปล่าอยู่ครึ่งแก้วเช่นนั้นหรือ เราควรจะนำแง่มุมการใช้ชีวิตในทางบวกไปใช้มากกว่าหลีกเลี่ยงกิเลสทั้งปวงใช่หรือไม่ ก็เพราะว่าชีวิตเต็มไปด้วยอุปสรรค สิ่งนี้หมายถึงว่ายอมรับความพ่ายแพ้ดีกว่าและหลีกเลี่ยงการลงวิ่งแข่งใช่ไหม หรือ มันจะเป็นประโยชน์มากกว่าในการเผชิญกับสิ่งท้าทายและฝ่าอุปสรรคในชีวิตเหล่านั้นเสีย คุณรู้ใช่ไหมว่าบางครั้งสิ่งสวยงามต่าง ๆ ก็สามารถเกิดมาจากความทุกข์ได้แต่ถ้าคนเราหลีกเลี่ยงประสบการณ์นี้เสีย แล้วมันควรค่าแก่การนับถืออย่างไรหากใช้ชีวิตแบบสมยอม ดูอย่างความนิยมต่อวีรบุรุษที่เราโปรดปรานที่สละชีวิตของเขาเพื่อประโยชน์ของคนอื่น เฉกเช่นพระเยซูคริสต์ที่ทนทุกข์ทรมานและเสียชีวิตบนไม้กางเขนในนามของมนุษยชาติผู้ซึ่งพระองค์ได้แบกรับโทษจากบาปและความผิดของพวกเราเพื่อที่จะปลดปล่อยพวกเราจากคำสาปแห่งความทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์โดยการทำความดีในนามของพวกเราเพื่อความสุขในสรวงสวรรค์ตลอดกาล

ข้าพเจ้าเข้าใจและเห็นด้วยว่าความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานนั้นเป็นความชั่วร้ายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการมีอยู่การคงอยู่และมนุษย์โลก แต่มันไม่ควรถูกหลีกเลี่ยงโดยตรวจสอบดูหรือหลบหนีความจริงนี้ที่ไม่มีปัญหาใดแก้ได้โดยการกำจัดตัวเองและโลกของเราออกไป เช่นการทรมานร่างกายตัวเอง คงจะดีกว่าหากมุ่งพลังงานและความพยายามของเราไปยังการก่อสร้างโรงพยาบาลสำหรับผู้เจ็บป่วยและธนาคารอาหารสำหรับผู้ยากจนและเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งมากกว่าการใช้วิธีวางเฉยไม่ทำอะไรต่อผู้คนเหล่านั้นที่เป็นผู้โชคร้ายน่าสงสาร

และการใช้ชีวิตอยู่ในวัดไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาของความทุกข์ทรมานของมนุษย์ และการอยู่แบบสันโดษเป็นท่าทีการตั้งรับซึ่งค้านกับวิธีการแบบก้าวหน้าในการรับมือกับปัญหาเหล่านี้

ศาสนาคริสต์เข้ามาอยู่ในตำแหน่งและนำหน้าในการสร้างความพยายามที่ดีในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพื่อให้ผู้อื่นมีคุณภาพีชีวิตที่ดีขึ้นโดยช่วยคนยากจนให้มีความลำบากและการทรมานน้อยลง ดีกว่าการรับเอาทัศนคติที่ว่าการช่วยเหลือผู้อื่นนั้นเป็นการสนับสนุนความชั่วร้ายให้เพิ่มมากขึ้นนั่นคือ ตัณหา (ความปรารถนา) หรือ เหตุผลใดก็ตามที ยังไงเสียคนเหล่านี้จริง ๆ แล้วก็กำลังทุกข์ทรมานอันเนื่องมาจากโชคชะตากงกรรมกงเกวียน

ความทุกข์อาจจะเป็นศัตรู หากพูดแบบประชดประชันแล้วล่ะก็การดับกิเลสนี้เองที่จะนำไปสู่ความทุกข์มากกว่าเดิมเช่นเดียวกันกับที่ศาสนาพุทธกำลังพยายามหลีกหนี

การประชดประชันอีกอันหนึ่งที่สำคัญของปรัชญานี้ก็คือว่าพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาต้นเหตุแห่งทุกข์และวิธีกำจัดทุกข์ ซึ่งเป็นการทำให้ตัวเองเจ็บปวดทุกข์ทรมานและการกระทำของเขาตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาสอน ในขณะที่เขาได้ละทิ้งครอบครัวของตัวเองรวมไปถึงภรรยาและลูก ๆ ซึ่งเป็นการสร้างความยากลำบากให้กับพวกเขาเหล่านั้นเพื่อที่จะติดตามภารกิจของตัวเอง

ข้อสรุปของข้าพเจ้า ศาสนาพุทธรูปแบบที่ง่ายที่สุดของศาสนาดูเหมือนจะเป็นความเห็นแก่ตัวเพราะถึงแม้ว่ามันอาจจะอยู่บนพื้นฐานของเมตตาธรรมปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพ เป็นการปฏิบัติเพื่อประโยชน์ส่วนตนเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาความทุกข์ส่วนตัวของคนอื่น ๆ ซึ่งวิธีทำความดีบางสิ่งบางอย่างเพื่อประโยชน์ของตนเอง เรียกกันว่า นิพพาน

ดังนั้นถ้าจุดหมายและแรงจูงใจสูงสุดสำหรับพุทธศาสนิกชนคือกำจัดทุกข์ ถ้าเช่นนั้นความดีงามจากการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ก็ต้องถูกมองว่าเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้ประสบผลสำเร็จเท่านั้น

แต่พระเยซูคริสต์มีอีกวิธีหนึ่งเพื่อมวลมนุษย์ นั่นก็คือพระองค์มาเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างไม่เห็นแก่ตัวมากกว่ามาเพื่อขอความช่วยเหลือในการอุทิศชีวิตพระองค์เพื่อเป็นค่าไถ่แก่เราทั้งหลาย

ท้ายนี้จากวิธีคิดตามหลักพุทธธรรม แนวคิดของการพิจารณาตัดสินมาจากกฏแห่งกรรมและการกลับชาติมาเกิด

สำหรับข้าพเจ้าแล้วเหมือนเป็นคำพูดที่มาจากการเอาคำที่มีความหมายตรงกันข้ามมารวมกัน เพื่อให้เชื่อว่าการเนรเทศองค์ดาไล ลามะผู้นำทางจิตวิญญาณที่น่านับถือหรือการข่มขืนแม่ชีชาวพุทธในธิเบตโดยจีนคอมมิวนิสต์นั้นเป็นผลมาจากกรรมที่ทำไว้แต่ชาติปางก่อน

ข้าพเจ้ายังสงสัยอีกว่ากฏแห่งกรรมนี้กลายมาเป็นสิ่งที่นำมาจัดการในผู้ที่ไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า ปฏิเสธต่ออำนาจสูงสุดได้อย่างไร และยังมีใครอื่นอีกสามารถดัดแปลงกฏแห่งความเชื่อนี้ได้ จากทั้งหมดนี้คงต้องมีใครสักคนตัดสินใจแน่วแน่และประเมินการทำงานของกฏที่ละเอียดอ่อนนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งรูปแบบของกฏที่มีระเบียบแบบแผน นี่อาจทำให้ผู้มีอำนาจสูงสุด ผู้รอบรู้ ผู้ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งซึ่งเรียกตัวเองว่าพระเจ้าให้คอยตรวจสอบเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ยาก ดังนั้นจะสามารถปฏิเสธได้อย่างไรเล่าว่าพระเจ้ามีอยู่จริง

นอกจากนี้ถ้านิพพานเป็นความสำเร็จสูงสุดและชะตากรรมสุดท้ายเพื่อให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว เราจะสามารถมั่นใจอย่างแน่นอนในภาวะที่เป็นอยู่นี้ได้อย่างไร

มีใครเคยตรวจสอบเรื่องนิพพานและกลับมาเล่าเรื่องราวของพวกเขาหรือไม่ นี่คือประสบการณ์จริงหรือมาจากการเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตากันแน่ ข้าพเจ้าเคยเขียนบันทึกผ่านทางเว็บไซต์เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตหลังความตายหรือเฉียดตายซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์และน่าสนใจสำหรับคุณ

Is Hell Real?

ในการตอบคำถามปรัชญาแห่งศาสนาพุทธ ข้าพเจ้าต้องการที่จะนำเสนอมุมมองทางเลือกซึ่งพูดเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นแสงสว่างให้กับโลกและผู้ซึ่งให้แสงไฟนำทางแก่มนุษย์ทุกคนและถ้าพวกเราเชื่อพระองค์ว่าเป็นทั้งพระเจ้าและผู้ไถ่บาป พระองค์ท่านจะนำพาเราให้พ้นจากโลกแห่งความทุกข์ทั้งหมดทั้งปวง ไม่ใช่ด้วยการพยายามด้วยตนเองอย่างลำบากยากเข็ญเพื่อให้เข้าสู่ภาวะลึกลับไร้สติหากแต่เป็นการนำพาเราไปสู่สุขคติบนสรวงสวรรค์ต่างหาก

ข้าพเจ้าเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระเยซูมากกว่า 20 ปีมาแล้วและพระองค์ได้ทรงเปลี่ยนชีวิตของข้าพเจ้าครั้งยิ่งใหญ่และเติมความปรารถนาที่จะดำรงชีวิตอยู่ให้กับข้าพเจ้ามากกว่าบันดาลใจให้ข้าพเจ้าดูแคลนการมีชีวิตอยู่เพียงชั่วคราว

ถ้าคุณชอบ คุณสามารถหาอ่านเกี่ยวกับคำสาบานตนของข้าพเจ้าได้ที่

คำสาบานตนของข้าพเจ้าต่อพระเจ้า

และอีกประเด็นค้านอันหนึ่งก็คือไม่ว่าศาสนาพุทธสำเร็จทางด้านวิชาการอะไรก็ตาม ความสำเร็จนั้นมาจากสถาบันการสอนแนวคิดแบบฮินดู

พระพุทธเจ้าอาจจะหันเหมาจากศาสนาฮินดู แต่ก็ยังเป็นฮินดูตั้งแต่เกิด มีชีวิตอยู่และเสียชีวิต และจากนั้นค่อย ๆ กลายพันธุ์เป็นศาสนาพุทธซึ่งก็ยังคงมีความคล้ายคลึงกับศาสนาฮินดูที่เป็นศาสนาแม่

นอกจากนั้นแล้วต้นโพธิ์ในศาสนาพุทธเป็นรากฐานอย่างเหนียวแน่นจากศาสนาฮินดูซึ่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงค้ำจุนโครงสร้างที่สำคัญเพื่อผดุงไว้ซึ่งสิ่งที่มองเห็นได้ของศาสนาพุทธว่าเป็นสถาบันทางศาสนา

อีกนัยหนึ่ง ถึงแม้ว่ามีความหลากหลายในความเชื่อระหว่างความคิดและค่านิยมของทั้งสองศาสนานี้ แต่ก็คงจะไม่มีศาสนาพุทธเกิดขึ้นถ้าไม่มีการแนะแนวจากผู้รู้ชาวอินเดีย ดังนั้นจึงขาดการริเริ่มไม่มีต้นกำเนิดของพระพุทธเจ้าซึ่งได้ใช้ตามชื่อเรียกมากกว่าความมีเอกลักษณ์จากแหล่งอื่นเสียเป็นส่วนใหญ่

ดังนั้นคุณต้องการเอาไข่ที่โขมยมาทั้งหมดวางไว้ในตะกร้าสามใบตามคำสอนของพุทธศาสนาหรือคุณจะมอบความไว้วางใจต่อมือที่ปกป้องด้วยความรักและความกรุณาของพระเจ้าผู้ซึ่งปรารถนาดีต่อคุณและสร้างคุณขึ้นมาเพื่อให้คุณได้มีชีวิตและเป็นชีวิตที่พรั่งพร้อมกันแน่

กล่าวโดยสรุปข้อโต้แย้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับว่าใครมีหลักปรัชญาและแสดงออกตามแนวคิดค่านิยมที่ดีที่สุดหากแต่เกี่ยวกับการค้นหาความจริงและการยอมให้ความจริงนำทางพวกเราไปสู่เส้นทางที่อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ พระเยซูนำแสงสว่างส่องทางมาให้มวลมนุษย์แต่ถ้าแสงสว่างเดียวที่คุณมีอยู่กลับเป็นความมืดสนิทแล้วนั้นคุณจะมองเห็นเส้นทางของคุณได้อย่างไรกันเล่า

ซึ่งพระคัมภีร์ได้ให้กำลังใจแก่เราว่าพระวจนะของพระองค์เป็นตะเกียงแก่เท้าของข้าพระองค์

สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าหวังว่าถ้อยคำของข้าพเจ้าคงไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นการละเมิดทางวาจาและความคิด คำพูดของข้าพเจ้าอาจจะแข็งกระด้าง ข้าพเจ้ามีแรงจูงใจอย่างแท้จริงที่บังคับให้ข้าพเจ้าทำหน้าที่ตรงนี้เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ๆ ข้าพเจ้าต้องขอโทษอีกครั้งถ้าข้าพเจ้าอาจดูไม่ให้ความเคารพหรือทำให้คุณไม่พอใจโดยไม่ตั้งใจ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะพูดเกี่ยวกับสิ่งนี้ในท่าทีที่สุภาพอ่อนโยนแต่ยังคงสื่อสารแนวคิดสำคัญอย่างจริงจังให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร

และข้าพเจ้าเชื่อเช่นเดียวกับพุทธศาสนิกชนเช่นกันว่ามีกฏสามัญสำนึกผิดชอบชั่วดี อุดมคติเหล่านี้เป็นสายใยเข้มแข็งในกรอบหลักของการมีชีวิตอยู่ของเราซึ่งพระเจ้าสื่อสารความจริงมายังส่วนที่อยู่ภายในของเราเพื่อที่ว่าพวกเรารู้โดยสัญชาตญาณว่ามีผลตามมาและมีการพิพากษาต่อการตัดสินใจของชีวิตเรา และนี่เป็นสิ่งที่น่าเคารพนับถือ ในขณะที่ศาสนาพุทธได้บอกให้ทราบเพียงเล็กน้อยว่า การฝึกทำใจให้สงบอย่างมีสติโดยผ่านการฝึกทางศาสนาด้วยความพยายามของตนเองเป็นเพียงพฤติกรรมตบตาความจริงที่ว่าตนได้มีสัมพันธภาพกับพระเจ้าผู้ซึ่งสามารถกำจัดภาระความผิดซึ่งมวลมนุษย์ได้พยายามอย่างมากเพื่อที่จะดับมันด้วยความพยายามของตัวเอง

ในท้ายนี้ข้าพเจ้าอยากจะขอให้คุณได้ลองพิจารณาดู คล้ายดั่งคำเชิญชวนให้ลองลิ้มรสและมองดูว่าพระเจ้านั้นดี และเปิดหัวใจของคุณให้ได้ค้นพบพระเจ้าและภาระของพระเยซูคริสต์

สรุปแล้วข้าพเจ้าอยากจะอำลาท่านด้วยพระวจนะของพระเยซูจากพระคัมภีร์ในเล่ม มัทธิว 11:28-30 28 ว่า “ บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเราเพราะเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ เพราะว่าเรามีใจอ่อนสุภาพและถ่อมลงและท่านทั้งหลายจะพบที่สงบสุขในใจของตน ด้วยว่าแอกของเราก็แบกง่ายและภาระของเราก็เบา ”

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของพุทธศาสนิกชน

ภาษาไทย-ศาสนาพุทธ

Buddha the enlightened one

 

 

Copyright permission by Bridge-Logos “The School of Biblical Evangelism”

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

Thursday, January 17th, 2013

พระคัมภีร์สอนให้เรารู้ว่าพระเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่างรวมไปถึงมนุษยชาติด้วยและถึงแม้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ประเสริฐแต่มนุษย์หาเป็นเช่นนั้นไม่ พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีตัวแทนศีลธรรมอิสระสามารถที่จะเลือกระหว่างความดีและความชั่วร้ายได้ พระคัมภีร์ หนังสือศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า เป็นการเปิดเผยของพระองค์ซึ่งบอกเราให้รู้ว่าพวกเราทั้งหมดนั้นทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า

ถ้าหากข้าพเจ้าต้องขนามนามบางบทบัญญัติที่ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของกฏทางศีลธรรมแล้วล่ะก็ คงอาจจะไม่มีใครเลยที่ไม่ล่วงละเมิดกฏของพระเจ้าในบางระดับ บาปเป็นการล่วงละเมิดต่อพระเจ้า พระเจ้าและคนอื่น ๆ ที่ไม่ว่าจะกำลังรับใช้พระเจ้าองค์อื่นอยู่หรือกำลังใช้พระนามของพระองค์ในทางที่ผิดอย่างสิ้นเชิงซึ่งเป็นความล้มเหลวต่อความรักพระเจ้าด้วยหัวใจของพวกเราทั้งหลาย สิ่งที่ตามมากับบทบัญญัตินี้ก็คือการทำให้พ่อแม่เสื่อมเสีย การฆาตรกรรมด้วยความเกลียดชัง การผิดประเวณีซึ่งเปรียบเสมือนราคะตัณหาทางตา การขโมย การเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้านตัวเอง และความอยากได้ทรัพย์สินหรือภรรยาคนอื่นซึ่งเกิดจากแรงกระตุ้นและความต้องการที่ผิด

การล่วงละเมิดนี้ทำให้พวกเราถูกตัดขาดหรือเหินห่างจากพระเจ้าตลอดกาล กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพวกเราหลงทางและถูกแยกห่างจากพระองค์เพราะว่าพระองค์จะไม่ยอมให้ความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์นั้นอยู่คู่กับบาป บาปนำความโกรธ

ของพระเจ้ามาสู่และคำพิพากษาของพระองค์ไม่ใช่เพียงที่นี่แต่จะคงอยู่นิรันดร์ พระคัมภีร์บรรยายไว้ว่ามันเป็นสถาน

ที่ ๆ ซึ่งมีเพลิงที่ไม่มีวันดับและมีความทุกข์ทรมานแสนสาหัส

เมื่อถึงจุดนี้ดูเหมือนจะไม่มีความหวังใด ยกเว้นข่าวประเสริฐที่ว่าพระเจ้าส่งพระเมสสิยาห์ผู้ไร้ซึ่งบาป หน้าที่ของพระเมสสิยาห์คือเป็นตัวแทนมนุษย์ขอร้องอ้อนวอนต่อพระเจ้า และวิธีการที่พระเมสสิยาห์ทำก็คือสละชีวิตของพระองค์ซึ่งถือเป็นแลกเปลี่ยนในนามของพวกเราเพื่อทำให้คำตัดสินของพระเจ้าเป็นที่พึงพอใจ

พระเมสสิยาห์ไม่เพียงแต่สิ้นพระชนม์เพื่อมวลมนุษย์ได้สร้างสันติภาพกับพระเจ้าเท่านั้นแต่พระองค์ยังคงได้ฟื้นคืนชีพและขณะนี้พระองค์รอต้อนรับผู้ซึ่งมีความไว้วางใจในพระองค์ ดังนั้นเมื่อพวกเราเข้าสู่ช่วงแห่งความตาย ร่างกายของเราจะตายไปแต่พวกเราจะไปอยู่กับพระองค์และนี่คือสิ่งที่พระคัมภียร์ได้กล่าวไว้ว่าเป็นชีวิตอมตะ

สิ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อพวกเราสารภาพจากใจจริงต่อศรัทธาในพระเจ้าว่าเป็นผู้ไถ่บาป ยกให้พระองค์เป็นผู้ที่ล้างบาปและนำสันติภาพมาสู่เรากับพระเจ้า สิ่งนี้ยังรวมไปถึงการยอมรับพระองค์เป็นพระเจ้าในความรู้สึกที่ว่าพวกเราขณะนี้รับใช้อยู่ในโอวาทของพระองค์อีกด้วย

เมื่อเราได้รับพระเยซูคริสต์ในความสามารถนี้แล้ว จากนั้นพระองค์ทรงส่งบุคคลที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์จากสวรรค์มาให้เรามาสถิตอยู่กับผู้ศรัทธาเพื่อที่จะช่วยนำพาชีวิตของเราสู่พระเจ้า

สิ่งที่ตามมากับการดำเนินการแห่งศรัทธาก็คือการผ่านพิธีการชำราะล้างบาปด้วยน้ำหรือพิธีล้างบาปในศาสนาคริสต์ซึ่งเปรียบเสมือนกับหลุมศพใต้ห้วงสมุทร การดำเนินการนี้บ่งบอกความหมายถึงการเกิดใหม่โดยทำให้ระลึกถึงการทำงานภายในแห่งร่างกายโดยพระเจ้า ซึ่งได้เป็นการประกาศและยอมรับในการดำเนินการนี้ ส่งผ่านความจริงแห่งจิตวิญญาณเปลี่ยนถ่ายให้กลายเป็นบุคคลใหม่จากภายใน

ขั้นตอนทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นการดำเนินการที่ง่ายแต่มันเป็นค่อนข้างลึกซึ้งในการนำไปประยุกต์ใช้ พระเยซูคริสต์กำลังเชิญชวนคุณโดยพระองค์ทรงตรัสว่า “ บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเราเพราะเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ เพราะว่าเรามีใจอ่อนสุภาพและถ่อมลงและท่านทั้งหลายจะพบที่สงบสุขในใจของตน ด้วยว่าแอกของเราก็แบกง่ายและภาระของเราก็เบา ”

เพื่อนเอ๋ย ถ้าวันนี้ท่านได้ยินเสียงของพระเจ้าเรียกหาคุณ ได้โปรดอย่าได้ทำใจแข็ง แต่คุณควรจะส่งมอบชีวิตของคุณให้กับผู้ดูแลแห่งจิตวิญญาณของคุณ พระองค์รักคุณและจะนำสันติสุขมาสู่คุณซึ่งเกินกว่าความเข้าใจทั้งปวงและนำพาซึ่งความสุขที่มิอาจบรรยายได้ นี่ไม่ได้ได้เป็นการบอกว่าท่านจะไม่เจออุปสรรคปัญหาในชีวิตท่านแต่พระองค์สัญญากับพวกเราว่าพระองค์จะไม่ทิ้งพวกเราหรือให้พวกเราอยู่ตามลำพัง

สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าขอให้กำลังใจท่านในการสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อให้เปิดเผยพระองค์ในหนทางที่เป็นจริงและชัดเจนเพื่อที่ว่าท่านจะได้เชื่อในพระองค์ ถ้าหากท่านทำเช่นนี้ด้วยความจริงใจและซื่อสัตย์จากหัวใจของท่านแล้ว ท่านจะไม่ผิดหวังเพราะราวกับว่าพวกเราได้รับการสนับสนุนเพื่อให้ได้ลิ้มรสและเห็นว่าพระเจ้านั้นประเสริฐ อาเมน

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

knowgod.com/th/fourlaws/?utm_source=4laws&utm_medium=website&utm_campaign=4laws-visit&utm_content=thai

How to know God

คำสาบานตนของข้าพเจ้าต่อพระเจ้า