เมื่อพิจารณาดูถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์อุลกรกาน พวกเราคงต้องวิเคราะห์คัมภีร์นี้เหมือนกับงานประพันธ์ชิ้นอื่น ๆ เพื่อรับรองการกล่าวอ้างว่าเป็นของจริงแท้ดั้งเดิม
ในศาสนาอิสลามคัมภีร์อัลกุรอานถือได้ว่าเป็นของสูงซึ่งทำให้มีความใกล้ชิดกันระหว่างวัตถุเทวรูปบูชากับเหล่าบรรดาผู้ปฏิบัติตามศรัทธาทั้งหลาย
อนึ่งศาสนาอิสลามนี้ได้กล่าวอ้างถึงแรงบันดาลใจของศาสนาที่นอกเหนือไปจากหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรในพระคัมภีร์
เมื่อข้าพเจ้าได้ศึกษาเกี่ยวกับนิกายมอร์มอน ข้าพเจ้าเห็นความคล้ายคลึงบางอย่างกับคตินิยมของศาสนาอิสลาม
มอร์มอนเชื่อในเรื่องจารึกสวรรค์ซึ่งถูกคัดลอกไว้บนแผ่นจารึกทองคำ โดยมีเทพบุตรได้บอกให้รู้ถึงสถานที่ตั้งของแผ่นจารึกทองคำและแนะนำให้แปลแผ่นจารึกทองคำนั้น
โจเซฟ สมิธมุ่งมั่นที่คาดหวังว่าจะได้พบกับความศรัทธาเพียงหนึ่งเดียวและสิ่งนี้นำพาให้เขาได้เผชิญหน้ากับหลายสิ่งหลายอย่างและการเปิดเผยความจริงของพระเจ้าด้วย ซึ่งก็มีความคล้ายคลึงกัน
ถึงแม้ว่าการเปิดเผยหล่านี้ “พระคัมภีร์มอร์มอน” จะ เหมือนกับคัมภีร์อัลกุรอานแต่ก็ยังถือได้ว่ามีความเป็นเอกสารที่สมบูรณ์น้อยกว่า
มุสลิมอาจจะอ้างว่าคัมภีร์อัลกุรอานนั้นเป็นงานประพันธ์ที่สละสลวยและสมบูรณ์ที่สุดตามหลักศาสนาอิสลามรับรองว่าเป็นแรงบันดาลใจจากพระเจ้า ซึ่งเป็นความหมายของหลักฐานภายใน
กระนั้นยังคงมีจุดที่โจเซฟ สมิธได้โยงถึงคัมภีร์มอร์มอนที่เขาได้เคยกล่าวไว้ว่าเป็นหนังสือที่สมบูรณ์ที่สุดในบรรดาหนังสืออื่นที่เคยเขียนขึ้นมา
อย่างไรก็ตามคัมภีร์ทั้งสองเล่มมีการกล่าวอ้างในเรื่องการเป็นต้นกำเนิดศาสนาอย่างสั้น ๆ โดยขาดความสละสลวยในความสมบูรณ์แบบตามที่ทั้งสองศาสนาได้อ้างว่าได้รับมา การอ้างสิทธิและการกระทำเป็นสองสิ่งที่แตกต่างและต้องสามารถพิสูจน์ได้หรืออย่างน้อยต้องมีหลักฐานที่มีเหตุผลหรือน่าเชื่อถือได้เพื่อใช้สนับสนุนพื้นฐานสำหรับความจริง
เริ่มแรกคัมภีร์อัลกุรอานมาจากแหล่งข้อมูลที่บอกว่าเกิดจากผู้ก่อตั้งเพียงคนเดียวซึ่งเป็นคนที่มีคุณลักษณะที่น่าสงสัย
จากบทเริ่มต้นของการเปิดเผยนี้ พระนบีมูฮัมหมัดเคยสงสัยในเรื่องความปกติทางจิตใจของเขาเพราะเขาไม่รู้ว่าเขาเป็นคนบ้าหรือเป็นศาสดาพยากรณ์กันแน่ เขาตั้งคำถามกับตัวเองว่ากำลังถูกปีศาจร้ายเข้าสิงอยู่และทำให้เห็นสิ่งเร้นลับซึ่งเชื่อมโยงขาให้ได้รับรู้การเปิดเผยเหล่านี้ ด้วยพฤติกรรมแปลก ๆ เช่นมีฟองที่ปากหรือคำรามเหมือนอูฐ อีกคำถามหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสดาพยากรณ์ก็คือทำไมพระอัลเลาะห์เลือกผู้ไม่รู้หนังสือให้สื่อสารความจริงที่อ่านออกเขียนได้ซึ่งมันไม่ทำให้เขาต้องรวบรวมเรียบเรียงไปตลอดชีวิตเลยหรือ
แต่อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้อภิปรายเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติมไว้ที่นี่
นบีมูฮัมหมัดเป็นศาสดาพยากรณ์เทียมใช่หรือไม่
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ควรไตร่ตรองเกี่ยวกับคัมภีร์อัลกุรอานก็คือความเป็นคัมภีร์ต้นฉบับ คัมภีร์อัลกุรอานถือได้ว่าเป็นการยืมงานเขียนมาจากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ ซึ่งแหล่งข้อมูลเหล่านี้เป็นพระคัมภีร์และคำสอนนอกศาสนา
ต่าง ๆ เช่น คำบรรยายมโนทัศน์ตามแนวคิดของพวกศานายูดายและต่อมาปรับใช้ในศาสนาคริสต์ซึ่งเป็นพวกนอกรีตทางศาสนา เนื่องจากพวกนี้ไม่เคยพิสูจน์ทราบถึงแรงบันดาลใจแห่งพระเจ้า การเขียนตามมโนทัศน์เหล่านี้เชื่อมโยงเป็นรอยต่อของทั้งวัฒนธรรมยิวและคริสเตียนซึ่งไม่เคยรับเข้ามาใช้อย่างจริงจัง
ควบคู่ไปกับงานประพันธ์นี้ ยังมีอิทธิพลจากเรื่องเล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับศาสนาโซโรอัสเตอร์ของชาวเปอร์เซียซึ่งได้ถูกรวมไว้ในการจดบันทึกคัมภีร์อัลกุรอานด้วย
ดังนั้นพระอัลเลาะห์ได้ยืมจารึกสวรรค์ของเขามาจากความเข้าใจผิดของผู้ส่งสารบนโลกมนุษย์และวัฒนธรรมของมนุษย์ได้อย่างไร
การที่ใครสักคนสามารถสร้างมนุษย์แห่งจินตนาการได้สำเร็จแต่กลับถูกคัดค้านโดยสังคมที่เกิดมาจากงานวรรณกรรมที่ไม่สมบูรณ์ อะไรกันแน่คือความสมบูรณ์แบบหรือปาฏิหาริย์
ถ้าอิสลามเป็นศาสนาที่ดีที่สุดแล้ว ทำไมถึงไม่เกิดขึ้นมาจากแหล่งข้อมูลของตัวเองแทนที่จะไปยืมเศษเล็กเศษน้อยจากพัฒนาการของศาสนาอื่น ๆ ซึ่งแวดล้อมวัฒนธรรมของอิสลามในช่วงเวลานี้ของประวัติศาสตร์ มันดั้งเดิมได้อย่างไร
อีกคำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นมาก็คือการเรียบเรียงข้อความที่คาดว่าศักดิ์สิทธิ์นี้ซึ่งขึ้นอยู่กับเศษวัสดุชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ไม่สมบูรณ์เป็นชิ้นเป็นอันและเน่าเปื่อยผุพังได้ง่าย เช่น กระดูก ไม้ หนัง ใบไม้และหิน
คัมภีร์อัลกรุอานถูกรวบรวมขึ้นโดยการได้รับบัญญัติสิบประการผ่านทางสติปัญญาหน่วยความจำและคำพูดที่อาจผิดพลาดได้ ซึ่งต้องการความถูกต้องและแม่นยำเช่นเดียวกับการเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดเพื่อที่จะตรวจสอบความเชื่อมั่นของความถูกต้องได้
มีวิธีไหนบ้างไหมที่จะบันทึกหรือรักษาสิ่งที่เป็นงานเขียนถาวรที่บรรยายว่าเป็น “มารดาแห่งหนังสือทั้งปวง” หรือในความเป็นจริงแล้วไม่มีอะไรแตกต่างไปจากวรรณคดีเก่าแก่อื่น ๆ
คัมภีร์อัลกุรอานไม่เคยได้รับการตรวจพิสูจน์ว่าได้ถูกรวบรวมขึ้นไม่ว่าจะเป็นในช่วงที่พระนบีมูฮัมหมัดมีชีวิตอยู่หรือภายหลังจากที่ท่านเสียชีวิตไปแล้วไม่นานก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามหลักฐานได้แสดงให้เห็นว่าคัมภีร์อัลกุรอานถูกรวบรวมและปรากฏขึ้นมาในช่วง 150 – 200 ปีหลังจากที่ศาสดาพยากรณ์ได้เสียชีวิตไปแล้วและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักบุญในราวศตวรรษที่ 8 หรือ 9
บรรดานักวิชาการลงความเห็นว่าข้อความในคัมภีร์อัลกุรอานไม่ได้ถูกรวบรวมโดยคน ๆ เดียวแต่เป็นการรวบรวมโดยกลุ่มคนมาเป็นช่วงเวลากว่าสองสามร้อยปี
คัมภีร์อัลกรุอานฉบับที่เก่าแก่ที่สุดนั้นถูกจารึกไว้ในคัมภีร์ Ma’il ลงวันที่ในราว ค.ศ. 790 ซึ่งก็ประมาณ 150 ปีหลังจากพระนบีมูฮัมหมัดถึงแก่กรรม
นอกจากนี้คัมภีร์ต่าง ในยุคอุษมานนั้นก็ไม่มีอยู่อีกแล้วและแม้นักวิชาการของอิสลามร้องเรียกหาความจริงอย่างอื่นอีกว่าคัมภีร์คูฟิค ซึ่งมีเนื้อหาที่ขัดแย้งกันไม่ได้ถูกนำใช้ในระหว่างช่วงยุคอุษมานและไม่ได้ปรากฏให้เห็นจนกระทั่ง 150 ปีต่อมาหลังจากหมดยุคของอุษมานแล้ว
แล้วสมมุติว่าภาษาอาระบิคเป็นภาษาสวรรค์ของพระอัลเลาะห์และคัมภีร์อัลกุรอานเกิดขึ้นมาจากพระอัลเลาะห์แล้ว ทำไมคัมภีร์อัลกุรอานถึงได้หยิบยืมการติดต่อสื่อสารผ่านการใช้คำต่างประเทศหรือภาษาอื่น เช่น ภาษาอะคาเดียน ภาษาอัสซีเรียน ภาษาเปอร์เซียน ภาษาซีเรียค ภาษาฮีบรู ภาษากรีก ภาษาอราเมอิก และภาษาเอธิโอปิค
ถ้าคัมภีร์อัลกุรอานเป็นของแท้แล้วทำไมไม่มีเนื้อหาดั้งเดิมคงอยู่และนำมาใช้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่พวกเรามีเอกสารที่เกิดขึ้นก่อนยุคศาสนาอิสลามที่ก็ยังดำรงอยู่อย่างสมบูรณ์ไม่บุบสลาย แน่นอนว่าพระอัลเลาะห์ในการปกครองด้วยอำนาจสูงสุดของตัวเองย่อมสามารถรักษาไว้ซึ่งข้อความศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง
หากพิจารณาประวัติศาสตร์ของคัมภีร์อัลกุรอานแล้ว มันน่าจะมีการตรวจสอบซัยดฺ อิบนุซาบิ ผู้ที่เป็นเลขาส่วนตัวของพระนบีมูฮัมหมัด ซัยดฺภายใต้การสั่งการของอบูบักร์ให้รับและจัดทำเอกสารจากการบอกเล่าของพระนบีมูฮัมหมัด
ด้วยเหตุนี้ ระหว่างการปกครองในยุคอุษมาน กษัตริย์องค์ที่สามมีความพยายามตั้งใจที่จะสร้างมาตรฐานให้กับคัมภีร์อัลกุรอานและบังคับให้ชุมชนมุสลิมทั้งหมดใช้เนื้อหาเดียวกันซึ่งนำไปสู่การจัดทำสำเนาของข้อพระคัมภีร์เล่มอื่น ๆ ของซัยดฺ ในทางกลับกันก็ได้มีการทำลายเอกสารคู่แข่งอื่นๆ ทิ้งไปด้วย
ใครกันจะพูดว่าข้อพระคัมภีร์นี้ได้มาตรฐาน ด้วยความบริสุทธิ์ใจ คน ๆ เดียวที่มีอำนาจสุดท้ายต่อกรกับสังคมของเหล่าผู้ศรัทธา ซึ่งบางคนเคยเป็นสหายใกล้ชิดกับพระนบีมูฮัมหมัด
ทุกวันนี้เรามีสำเนาของสำเนาที่คู่ไปกับข้อความพระคัมภีร์ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราได้สิ่งที่เป็นคัมภีร์อัลกุรอานจริง ๆ และพระนบีมูฮัมหมัดจะสามารถจดจำเนื้อหาทั้งหมดนี้ได้
และเนื่องมาจากมีหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรจำนวนมากได้ถูกทำลายทิ้งไป พวกเราไม่มีทางที่จะเขียนข้อความชั้นบริสุทธิ์ขึ้นมาได้
ความแตกต่างระหว่างคัมภีร์ทั้งสี่ที่มีอยู่รวมกันใน ซัยดฺ อับดุลลาห์ อิบนุ มัสอุด อาบู มูซา และ อุบัย มีการเบี่ยงเบนและการลบล้างระหว่างคัมภีร์ทั้งสี่เล่มและแม้แต่จากเล่มดั้งเดิมของเนื้อหาเองซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่น่าเชื่อถือในการมีสัมพันธภาพต่อพระนบีมูฮัมหมัด
อัลดุลลาห์ มัสอุด ได้รับการแต่งตั้งจากพระนบีมูฮัมหมัดให้เป็นปรมาจารย์ในการสวดคัมภีร์อัลกุรอานและอุบัยเป็นเลขานุการของท่านศาสดา
คำถามของข้าพเจ้าก็คือต้นฉบับของใครกันแน่ที่ถูกต้องหรือน่าเชื่อถือมากกว่ากันในกลุ่มสานุศิษย์ผู้ใกล้ชิดท่านศาสดา
ใครคืออุษมาน ที่เป็นผู้มีอำนาจคนสุดท้ายในการแก้ไขความถูกต้องเนื่องจากว่ามีตำราที่น่าเชื่อถือต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยชุมชนอื่น ๆ
เมื่อซัยดฺ ได้รวบรวมข้อพระคัมภีร์เขาลืมใส่คำสอนบางคำสอนที่เกี่ยวข้องกับ “การทำโทษด้วยการปาหิน” ลงไปด้วยเช่นกัน
ตอนนี้หลังจากการต่อสู้ดิ้นเพื่อทำข้อพระคัมภีร์ให้เป็นหนึ่งเดียวซึ่งต่อมาภายหลังได้ถูกทบทวนและปรับปรุงใหม่โดยอัลฮัจจาจญ์ผู้ว่าการของเมืองคูฟา
เริ่มแรกเขาได้เแก้ไขข้อพระคัมภีร์ไปสิบเอ็ดเล่มและท้ายที่สุดสิ่งที่เขาได้แก้ไขต่อมาถูกลดลงเหลือแค่เจ็ดเล่ม
จากอิทธิพลของข้อพระคัมภีร์ฮาฟซานี้ ซึ่งเป็นเอกสารดั้งเดิมมาจากข้อพระคัมภีร์สุดท้ายที่ได้เถูกขียนขึ้นและต่อมาถูกทำลายโดยมัรวาน ผู้ว่าการเมืองเมดินา อีกหนึ่งปรากฏการณ์ประหลาดในคัมภีร์อัลกุรอานก็คือหนึ่งในการยกเลิกซึ่งเป็นวิธีจัดการสิ่งที่ขัดแย้งภายในที่ถูกบรรยายว่าเป็นการปรับปรุงเนื้อหาข้อพระคัมภีร์ให้ดีขึ้น
ข้าพเจ้ากำลังสงสัยว่าคุณสามารถแก้ไขบางสิ่งบางอย่างที่สมบูรณ์แบบแล้วได้อย่างไรเพราะการเปิดเผยนี้ครอบคลุมเพียงแค่ช่วงเวลายี่สิบปีและไม่จำเป็นต้องปรับปรุงอะไรเลยเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อวิวัฒนาการความเป็นมาตรฐานทางแนวคิดและค่านิยม
มีการกล่าวถึงตัวเลขของการยกเลิกว่าอยู่ระหว่าง 5 ถึง 500 บางคนพูดว่าตัวเลขใกล้เคียง 225 สิ่งนี้แสดงให้เราเห็นว่าศาสตร์แห่งการยกเลิกเป็นศาสตร์ที่ผิดจริง ๆ เพราะไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่ามีข้อความถูกยกเลิกไปมากเท่าไหร่ นอกจากนี้สิ่งที่ขัดแย้งกันภายในมีหลักเกณฑ์เหมือนกันกับข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์เช่นกันอีกด้วย
ในการเชื่อมโยงสองสิ่งที่แตกต่างเข้าด้วยกันก็คือจำนวนวนฮาดิษซึ่งเป็นพระวจนะของพระนบีมูฮัมหมัดที่ปรากฏเพิ่มมากขึ้นทันใดในศตวรรษที่ 9 ซึ่งป็นเวลา 250 ปีหลังความจริง
หกแสนฮาดิษซึ่งเป็นพระวจนะดั้งเดิมที่เคยแพร่หลายในช่วงเวลานั้น มีเพียงแค่เจ็ดพันกว่าพระวจนะที่ยังคงมีอยู่ ทิ้งให้พระวนจนะดั้งเดิมกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ถูกจัดให้เป็นพระวจนะที่ผิด
ถ้า 99 เปอร์เซ็นต์ไม่ถูกต้องเสียแล้วพวกเราจะสามารถมั่นใจใน 1 เปอร์เซ็นต์ที่ได้รับการรับรองจากท่านอัล บุคลารีได้อย่างไร ค่านิยมและแนวคิดของมุสลิมวิวัฒนาการมาจากการบอกเล่าสืบต่อกันมาจากผู้เล่าเรื่องหรือ Kussas ซึ่งในที่สุดเรื่องเล่าของพวกเขาได้ถูกรวบรวมไว้หลังยุคศตวรรษที่ 8 เรื่องเล่าเหล่านี้มาจากนิทานพื้นบ้านทั่วไปและถูกเสริมเติมแต่งบิดเบือนมากขึ้นจนกลายเป็นศาสนาอิสลาม
ถ้าคุณเคยเล่นเกมโทรศัพท์หรือเล่าเรื่องต่อ ๆ กันกับกลุ่มคนเยอะ ๆ เล่าต่อกันทีละคน ในตอนท้ายมักจะจบลงที่เรื่องเล่าที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเมื่อคนสุดท้ายเป็นคนเล่าเรื่องให้ทุกคนฟัง
ตอนนี้เรื่องเล่านี้ได้แพร่กระจายมากไปกว่าสองสามร้อยปีแล้วคุณคิดว่าผลลัพธ์ของการปฏิบัติเช่นนี้จะเป็นเช่นไร
หากจะพิจารณาว่าคัมภีร์อัลกุรอานเป็นแผนการของพระอัลเลาะห์หรือสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเหล่าบรรดาสิ่งมหัศจรรย์โดยไม่คำนึงความเท่าเทียมกันทางด้านการประพันธ์แล้วดูฟังดูเหมือนออกจะเป็นการกล่าวอ้างเกินจริงซึ่งไม่พบเห็นตามหน้าปกหนังสืออื่น ๆ
คัมภีร์อัลกุรอานทิ้งไว้ซึ่งคำถามมากกว่าคำตอบ
คัมภีร์อัลกุรอานเป็นความดีเลิศของผลงานวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมหรือเรียกสั้น ๆ ว่าการกล่าวอ้างเพื่อให้มีชื่อเสียงกันแน่
คัมภีร์อัลกุรอานมีข้อความที่งดงามเกินกว่างานวรรณกรรมชิ้นอื่น ๆ เช่นนั้นหรือ นี่เป็นข้อคิดเห็นทิ้งไว้ให้คนฟังคิดว่ามีชิ้นงานวรรณกรรมคลาสสิคจำนวนมาก ซึ่งคัมภีร์อัลกุรอานได้หยิบยืมมาจากความคิดเห็นของเล่มอื่น ๆ จึงทำให้กลายเป็นวรรณกรรมที่ดีมากขึ้น
สำหรับคัมภีร์ที่ควรจะเป็นอันดับที่หนึ่งและถูกบรรยายไว้เสมอว่ามีการแก้ไขที่ไม่ดีและไม่มีความต่อเนื่องในหลาย ๆ ประเด็นและไม่สามารถที่จะทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์และการตรวจสอบอย่างละเอียดจากคนอื่น ๆ ผู้ซึ่งสามารถให้มุมมองที่เป็นภววิสัยต่อความเป็นจริงของคัมภีร์ได้
สำหรับคนอื่น ๆ การนำไปใช้ภายในองค์การนั้นมันเป็นไปอย่างเชื่อฟังอย่างไม่ต้องสงสัย ยอมจำนนแบบไร้เหตุผลซึ่งเป็นการป้องกันผู้เคารพสักการะจากการคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับเนื้อหาของคัมภีร์
การตั้งคำถามต่อพระคัมภีร์ก็เหมือนเป็นการตั้งคำถามต่อพระอัลเลาะห์และศาสดาพยากรณ์ของเขาซึ่งนอกเหนือไปจากกรอบความคิดของมุสลิมซึ่งจะมองสิ่งนี้เป็นเหมือนการทรยศและต่อต้านซึ่งจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการกระทำนั้นตลอดกาล
กล่าวโดยสรุปข้าพเจ้าไม่มีความคิดเห็นอื่นอีกแล้วจริง ๆ เกี่ยวกับคัมภีร์อัลกุรอาน สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าอยากจะพูดก็คือข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้าพเจ้าคงไม่กล่าวเรื่องราวนี้เกินจริงไปด้วยการใช้ถ้อยคำอย่างตรงไปตรงมาและด้วยเหตุที่เหมือนไม่แสดงความเคารพต่อเพื่อนชาวมุสลิมของข้าพเจ้า
นี่เป็นสิ่งที่ทำได้ยากเพราะว่าเมื่อศาสนาถูกฝังลงเป็นความศรัทธาส่วนบุคคลอย่างถาวรมากกว่าเป็นสิ่งที่นำมาเพื่อเสนอท้าทายทัศนคติต่อความคิดทางศาสนา ซึ่งบ่อยครั้งที่ถูกมองว่าเป็นการขู่เข็ญหรือรูปแบบของศัตรู
ข้าพเจ้าขอให้คุณโปรดให้อภัยข้าพเจ้าถ้าหากสิ่งที่ข้าพเจ้าทำลงไปทั้งหมดเป็นการกระตุ้นความโกรธของคุณมากกว่าไปกระตุ้นความสงสัยต่อพระคัมภีร์ซึ่งคุณยึดถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ขอกล่าวอีกครั้งว่าความตั้งใจของข้าพเจ้าคือไม่ใช่การรุกรานแต่เป็นการรักษาไว้ซึ่งความจริงและเพื่อดำเนินไปตามแนวทางของสิ่งที่ซึ่งอาจจะนำทางให้เราในท้ายที่สุด
สุดท้ายนี้หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมในหัวข้อนี้คุณสามารถหาดูได้จากบทความที่เขียนโดยเจย์ สมิธ ซึ่งข้าพเจ้าได้เคยเขียนไว้ในบันทึกข้อความบนเว็บไซต์นี้
ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ
วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า
แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม
ภาษาไทย
jesusandjews.com/wordpress/2009/11/09/is-the-quran-sacred/