Archive for the ‘ภาษาไทย-Thai’ Category

ภาพประจักษ์และความฝันของพระเยซู

Friday, October 24th, 2014

สวัสดี ข้าพเจ้าได้รับการถามจากเพื่อนของข้าพเจ้าในประเทศมุสลิมว่าข้าพเจ้าแบ่งปันกับพวกเขาเกี่ยวกับคนที่ข้าพเจ้ารู้จักว่ามีความฝันหรือหรือวิสัยทัศน์ของพระเยซู เพื่อจะเริ่มต้นข้าพเจ้าเองมีความฝันถึงพระเป็นเจ้าเมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็กเล็กและข้าพเจ้าไม่ได้สร้างความฝันนี้ขึ้นมาในขณะที่พระองค์มาปรากฎแก่ข้าพเจ้าในแสงสว่างจ้าซึ่งตรงกับการบรรยายในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลถึงพระสิริมงคลของพระเป็นเจ้าซึ่งเป็นข้าพเจ้าทราบสิ่งนี้ในสมัยนั้น มันเป็นความประทับใจที่ลึกซึ้งแก่ข้าพเจ้าและข้าพเจ้ายังคงจดจำมาถึงทุกวันนี้และแม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงกล่าวสิ่งใดแก่ข้าพเจ้ามันเป็นความสุกใสของการประทับอยู่ของพระองค์ซึ่งสื่อสารมายังข้าพเจ้าว่าพระองค์มีคุณค่าแก่การเคารพสักการะและดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ก้มกราบต่อเฉพาะพระพักตร์พระองค์

และข้าพเจ้ายังมีเพื่อนคู่สามีภรรยาชาวยิวผู้ที่ได้มีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเยซู สุภาพสตรีคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนที่ดีของข้าพเจ้าและเธอต่อต้านต่อคริสตศาสนาเป็นอย่างมากที่เธอถือว่าทุกศาสนานั้นถูกต้อง เธอไม่เคยจริงจังกับข้าพเจ้าในเรื่องนี้และมีจุดหนึ่งที่เธอแม้แต่ให้คำแนะนำว่าบิดาของเธอเก่งในการโต้แย้งกับคริสตชนและนั่นเป็นการสิ้นสุดการสนทนาในครั้งนั้น อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะตายเธออยู่ที่โรงพยาบาลและอ้างว่าเธอมีการมาเยี่ยมหลายครั้งจากพระเยซู ตอนนี้สำหรับชาวยิวที่ยอมรับว่าได้มีการติดต่อกับพระเยซูเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดาและอัศจรรย์ ซึ่งข้าพเจ้าเชื่ออยากลึกซึ้งในการเปลี่ยนแปลงในความคิดของเธอเกี่ยวกับพระองค์ว่าเป็นพระแมสซีอาห์

อีกเรื่องราวหนึ่งจากยิวชาวอัฟริกาใต้เป็นศาสนจารย์ท่านหนึ่งในโบสถ์ของข้าพเจ้าในปัจจุบันนี้ที่ข้าพเจ้าไปร่วมพิธี ท่านผู้นี้ก็เช่นกันที่ได้เคยปฏิเสธความคิดว่าพระเยซูเป็นพระแมสซีอาห์อย่างไรก็ตามเขาได้เห็นภาพประจักษ์ของพระองค์หลายครั้งในตอนเที่ยงวันระหว่างที่เขาไปเยี่ยมกรุงเยรูซาเลม ตอนนี้เขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาที่ชื่อว่า “การเผชิญหน้าในเยรูซาเลมของข้าพเจ้า”

ในที่สุด เรื่องราวหรือประจักษ์พยานต่าง ๆ ที่น่าสนใจและประหลาดใจอย่างที่สุดมาจากเพื่อนมุสลิมของข้าพเจ้าผู้ที่ไม่เพียงแต่จะให้ความเคารพต่อพระเยซูเป็นดังประกาศกแต่เป็นผู้ที่มามอบความเชื่อในพระองค์ผู้เป็นพระเจ้า

ในตอนแรกที่ข้าพเจ้าได้พูดคุยกับใครบางคนเช่นนี้หลังจากที่ข้าพเจ้าได้สังเกตุสุภาพบุรุษจากตะวันออกกลางที่มาร่วมพิธีกรรมในโบสถ์นานาชาติแห่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าต่อมาภายหลังได้พบในร้านขายของชำ ข้าพเจ้าได้เผชิญหน้าชายชาวอิหร่านคนนี้และถามถึงการที่เขาได้กลายมาเป็นผู้มีความเชื่อและเขากล่าวว่าเขาได้มีภาพประจักษ์หรือความฝันถึงพระเยซู

ชายอีกคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าทราบคือเพื่อนชาวปาเลสไตน์ที่ข้าพเจ้าพบในขณะที่อยู่ในอิสราเอลและเขากล่าวว่าแม้ว่าเขาจะมีพื้นเพมุสลิมเขาบางครั้งได้กลับกลายเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซู ต่อมาเขาถูกจำคุกเนื่องจากความเชื่อของเขาและ ณ จุดนั้นเองที่พระเยซูประจักษ์มาหาเขาและทำให้ห้องขังนั้นสว่างไสวไปทั่วห้อง

อีกคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมซึ่งรวมถึงสุภาพสตรีจากปากีสถานผู้ที่กล่าวว่าเป็นเด็กหญิงเยซูที่ปรากฎมาหาเธอในความฝันและเสนอให้เธอดื่มน้ำและถึงจุดนี้ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายแก่เธอตามข้อความในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ว่าพระเยซูเป็นน้ำทรงชีวิตผู้ประทานชีวิต

สตรีอีกคนหนึ่งผู้เป็นชาวอิหร่านที่ส่งอีเมล์มาหาข้าพเจ้าและกล่าวว่าเมื่อเธอภาวนาในตอนเช้าเสร็จและเธอกลับไปที่เตียงนอน แต่กลับต้องตื่นขึ้นเมื่อมีแสงสีเชียวเต็มไปทั่วห้องพร้อมกับเสียงของผู้ชายบอกเธอ “ยืนขึ้น ! สวัสดี ฉันคือแมสซีอาห์” ในการตอบนี้ เธออ้างว่า เธอกลัวเกินไปที่จะออกจากเตียงและยังคงอยู่ใต้ผ้าห่มเพราะว่าเธอไม่ได้ใส่ชุด ไฮจับหรือเสื้อคลุมส่วนตัวอะไร

ในตอนปิดท้ายนี้ ข้าพเจ้าได้ลืมรายละเอียดบางอย่างของเรื่องราวทั้งหมดและข้าพเจ้าปรารถนาจะได้บันทึกมันในเวลานั้นแต่อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าได้ยินเรื่องราวการเผชิญหน้ามากขึ้นมากขึ้นซึ่งเป็นความจริงและชีวิตที่เปลี่ยนไปในจุดที่ชายหญิงเหล่านี้พร้อมที่จะถูกตัดออกจากครอบครัวและสังคมของพวกเขาซึ่งอาจจะถึงแม้แต่ความตายสำหรับบางคนในพวกเขาด้วย คนเราไม่ได้เสี่ยงชีวิตเพื่อความสูญเปล่าและข้าพเจ้าเชื่อว่าสำหรับคนในสองกลุ่มนี้ได้มีพลังและผลกระทบที่ผลักดันพวกเขาซึ่งไม่ได้มาจากบุคคลแห่งความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ชื่อว่า โมเสสและมูฮัมหมัด แต่เป็นการเรียกให้ตื่นขึ้นและมาคิดอีกครั้งในตัวบุคคลและภารกิจของพระเยซูในการท้าทายในสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาหรือได้รับคำสั่งให้เชื่ออะไรเกี่ยวกับพระองค์ บางทีท่านตั้งคำถามถึงความจริงเกี่ยวกับรายงานเหล่านี้แต่ข้าพเจ้าเพียงแต่เรียกร้องให้ท่านถามพระเป็นเจ้าหรือพระเยซูในการทำให้ท่านเองรู้จักพระองค์ในวิธีการเป็นส่วนตัวเช่นนั้น ดังนั้นท่านสามารถเชื่อและไว้วางใจในพระองค์ในฐานะที่เป็นพระเจ้าและพระผู้ไถ่

สุดท้าย ข้าพเจ้าได้ชมวิดิทัศน์สองเรื่องบน 700 คลับ ซึ่งพูดเกี่ยวกับมุสลิมบางคนที่มาสู่ความเชื่อ

www.cbn.com/tv/3166680520001
www1.cbn.com/cbnnews/insideisrael/2012/June/Dreams-Visions-Moving-Muslims-to-Christ
www1.cbn.com/video/fatimas-quest-for-god

More than Dreams Videos

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

Visions and Dreams of Jesus, Isa, Esa, Yeshu, Yeshua

คัมภีร์อัลกุรอานสนับสนุนพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

Friday, October 24th, 2014

คัมภีร์อัลกุรอานสนับสนุนการดลใจจากพระเป็นเจ้าในหนังสือโตราห์ บทสดุดี และ พระวรสารแต่ยังมีผู้เชื่อมุสลิมในยุคร่วมสมัยอ้างว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นเสื่อมลงและไม่สามารถไว้วางใจได้ สิ่งนี้แน่นอนไม่สามารถนำมาพิสูจน์และคำพูดนี้ก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ ความคิดเห็นที่นำไปหมุนเวียนส่งต่อกันไปท่ามกลางผู้ที่ปฏิบัติตามอิสลาม

หนึ่งในเหตุผลสำหรับการคิดเช่นนี้เนื่องจากว่ามีพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่แตกต่างกันมากมายอยู่ และ นั่นคือเป็นสาเหตุที่สิ่งนี้จึงไม่ถูกต้องทั้งหมด

เหตุผลหลักที่ว่าทำไมจึงมี พระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่แตกต่างกัน ง่าย ๆ คือมี หลักฐานการบันทึกมากมายที่มีมาถึงเรา มีสำเนาของบทความที่เขียนขึ้นเป็นภาษากรีกถึง 6000 ฉบับมากกว่าวรรณกรรมใด ๆ ในยุคโบราณที่มีมาถึงเราจากยุคโบราณนี้

ทุกวันนี้ เรามีความสะดวกสบายในการพิมพ์ซึ่งทำให้มีการผลิต การแบ่งปัน และ การเก็บรักษาเอกสารได้ดีกว่ามาก ในระหว่างยุคของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล หนังสือที่เขียนด้วยมือมีอยู่น้อยและแพงมาก ดังนั้นเนื่องจากความต้องการในการเก็บรักษาและในขณะเดียวกันที่มีความต้องการเร่งด่วนสำหรับพระวรสารจึงมีความจำเป็นที่แน่นอนในการทำสำเนาและแพร่กระจายออกไป

สำเนาได้มีการจัดหาให้หรือผลิตขึ้นผ่านกฎเกณฑ์การเขียนและเทคนิคที่เคร่งครัดซึ่งชาวยิวเป็นคนทำจึงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาไปจากข้อความดั้งเดิม สำเนาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ได้เปรียบในการทำการเปรียบเทียบเพื่อให้มั่นใจว่าข้อความนั้นถูกต้องและมีการตรวจสอบถึงความถูกต้องนั้น ท่านต้องจำไว้ว่าหากมีสิ่งที่ไม่ตรงกันในข้อเขียนจากข้อความที่คัดลอกด้วยมือนี้คงจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเนื้อหาหรือตัวอักษรของดั้งเดิม สิ่งที่โดดเด่นเกี่ยวกับพันธสัญญาใหม่คือถ้ามันถูกทำลายไป มันจะรับการสร้างขึ้นมาใหม่จากการใช้ตัวอ้างอิงจากปิตาจารย์ของพระศาสนจักรในยุคโบราณซึ่งช่วยเป็นพยานหลักฐานสนับสนุนต่อความแท้จริงและความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์ด้วย

ในการสนับสนุนต่อพันธสัญญาใหม่อีกอันหนึ่ง คือความสัมพันธ์ระหว่างช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ระหว่างช่วงที่มีการเขียนที่ดั้งเดิมและสำเนาที่เก่าแก่ที่สุดที่มีอยู่ประมาณ 100 ถึง 250 ปี นี่คือช่วงความสัมพันธ์ระยะสั้นของเวลาที่เปรียบเทียบกับชิ้นวรรณกรรมโบราณต่าง ๆ เช่น ซีซาร์ กัลลิค ซึ่งเป็นช่องว่างประมาณ 1000 ปี

วิธีการอีกอันหนึ่งในการช่วยพิสูจน์ความเป็นของแท้ของพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมาจากการค้นพบม้วนหนังสือแห่งทะเลตายที่พบในกุมรันย้อนไปในปี 1940 มาถึงเวลานี้เป็นสำเนาของพระธรรมเก่าที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งเป็นภาษามาโซเรทิค ซึ่งมีอายุในประมาณ ปี 900 CE เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับม้วนหนังสือทะเลตายซึ่งลงวันที่ไว้ในบทคัดด้วยมือนี้ประมาณ 1000 ปี ซึ่งเราไม่เห็นความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด

และท่ามการการตรวจสอบและสมดุลในการเก็บรักษาพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจากการเสื่อมสลายมีการประชุมต่าง ๆ ที่จัดทำเพื่อเป็นการสถาปนาและปกป้องพระคัมภีร์จากกลุ่มนอกรีตเพราะจะมีรูปแบบวรรณกรรมเทียมอื่น ๆ ที่นำไปเผยแพร่และผู้นำทางศาสนจักรจำเป็นต้องจัดตั้งและให้มีหลักแห่งความเชื่อและหลักการรายชื่อหนังสือซึ่งถือว่าเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์ สังคยานาแห่งนิเชอาได้จัดขึ้นใน 325 CE ท่ามกลางกลุ่มคริสตชนในขณะที่ชาวยิวได้มีสังคายานาแห่งแจมนีอาใน 90CE.

อีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมจึงมีพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่แตกต่างคือวัตถุประสงค์ที่เป็นเรื่องที่ใช้จริงในการได้มาซึ่งพระคัมภีร์มาสู่ภาษาอันเป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชนที่มันมีเจตนาเขียนถึง อัครสาวกได้รับคำสั่งให้ไปทั่วโลกและเทศน์สอนพระวรสารและมีเพียงหนทางเดียวที่จะทำในลักษณะที่มีประสิทธิภาพ ไม่มีการสมคบคิดในการที่จะทำให้เพี้ยนหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งใดในการแปลภาษาในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าหากมีใครบางคนที่ยื่นพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่เขียนในภาษาดั้งเดิมในฮีบรู อาราเมอิคและกรีกให้ข้าพเจ้า และคาดหวังให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจในความหมายนั้น แม้แต่ถ้าข้าพเจ้าได้ศึกษาภาษาโบราณเหล่านั้นมาข้าพเจ้าก็ได้รับการฝึกมาตามวัฒนธรรมที่คิดและนึกในภาษาอังกฤษและคงจะมีอคติในการตีความด้วยอยู่ดี

คัมภีร์อัลกุรอานก็เผชิญหน้ากับการท้าทายเดียวกันกับที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้รับเมื่อมาถึงกฎการวิจารณ์ตามตัวอักษร นอกจากทั้งหมดนี้แล้วมันก็ไม่ได้ตกลงมาจากท้องฟ้า หรือ มีรอยนิ้วมือของอัลเลาะห์แต่ประการใด

ในที่สุดข้าพเจ้าขอกล่าวว่าไม่ว่าสิ่งใดที่มูฮัมหมัดได้รับในแง่ที่เป็นความคิดทางพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เขาได้รับและยืมมันผ่านอิทธิพลในระดับสองจากทั้งคริสตชนและยิวผู้ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของข้อความเหล่านั้น ถ้าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเสื่อมลงในเวลานี้ในประวัติศาสตร์ซึ่งมูฮัมหมัดได้มีชีวิตอยู่ แล้วนั้นมูฮัมหมัดได้รับความจริงของสิ่งนี้อย่างไรในเมื่อเขาต้องพึ่งพิงต่ออิธิพลของคริสตชนและยิว พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบรรจุซึ่งสำเนาคำพูดต่าง ๆ ที่ดีก่อนการมาถึงของอิสลามดังนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ต้องมีถกเถียงกัน ถ้าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมีการจัดการอย่างไม่ถูกต้องและเสื่อมโดยคริสตชนและชาวยิว แล้วนั้นทำไมอัลเลาะห์ในพระสรรพานุภาพของพระองค์ในตอนแรกจึงไม่เปิดเผยเป็นครั้งแรกต่อมุสลิมเล่า ข้าพเจ้าทราบว่าการถกเถียงเหล่านี้เป็นเรื่องน่าขบขันแต่ข้าพเจ้าต้องการที่จะนำมันไปสู่บทสรุปในแบบที่มีเหตุและผลเพื่อจะได้ให้ท่านได้เห็นถึงสิ่งที่ไม่สอดคล้องกันในการถกเถียงที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักของเหตุและผลนั่นเอง

 

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

The Quran Supports the Bible

พิธีการชำระล้างและทำให้บริสุทธิ์

Friday, October 24th, 2014

เมื่อท่านเห็นศาสนาใหญ่มากมายในโลกท่านจะเห็นพิธีกรรมกรรมการชำระล้างที่เข้ากับเหตุการณ์ในชีวิตปกติเช่น การเกิดของเด็กและการตาย รวมทั้งในกิจกรรมธรรมดาตามประสบการณ์ของมนุษย์เช่นการมีประจำเดือน ท้องอืด การนอน การสัมผัสทางเพศ การหมดสติ การหลั่งเลือด อสุจิ อาเจียน และ โรคภัย ฯลฯ

พิธีการทำให้บริสุทธิ์เหล่านี้บางอันรวมถึงการอาบน้ำ เช่นที่ทำกันในระหว่างความเชื่อบาไฮ ขณะที่คนอื่น ๆ ชอบที่ให้ร่างกายของตนเองลงไปจุ่มท่วมทั้งตัวในแม่น้ำ

สำหรับชาวยิวพิธีกรรมนี้รวมถึงการล้างมือและมิควาห์ในขณะที่ชาวมุสลิมมีกหัสล์และวูดู การอาบน้ำของชาวฮินดูในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์คงคา และ การทำ อัคามานา และ ปุนยาฮาวาชานัม ชาวชินโตทำมิโซจี และ ชาวพื้นเมืองอเมริกันอินเดียนมีสเวทลอจ์ด

แม้ว่าศาสนาเหล่านี้จะมีลำดับแห่งความแตกต่างในมุมมองของโลกมีความเหมือนหรือความคุ้นเคยเป็นดังการเกี่ยวพันกับรูปแบบของน้ำซึ่งสำหรับพวกเขามันนำความรู้สึกที่แท้จริงซึ่งบุคคลจะรู้สึกถึงความไม่สะอาดกับความตระหนักโดยกำเนิดว่าพวกเขาอยู่ในหนทางที่มีนัยสำคัญที่ไม่ด่างพร้อยดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องมีการชำระล้างเป็นดังสัญญลักษณ์โดยการกระทำเหล่านั้นโดยการใช้ตัวทำละลายสากลนี้เป็นดังวิธีในการทำให้บริสุทธิ์

การตระหนักในตนเองนี้พบในการแสดงออกในบางศาสนาที่กลับกลายมาเป็นทัศนคติต่อการที่จะมีความรู้สึกทางด้านจิตของความเป็นจริงที่เหนือธรรมชาติด้วยการศึกษาในเชิงเอกัตนิยมจากภาษิตเก่าแก่เกี่ยวกับความสะอาดที่เป็นอะไรที่ต่อจากความเลื่อมใสในศาสนา อย่างไรก็ตามที่จะกล่าวว่ามีความสัมพันธ์ในเชิงกายภาพหรือวัตถุที่ประยุกต์ใช้อยู่นี้มันเป็นสื่อที่มีผลสัมฤทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับความไม่พอใจหรือไม่พึงพอใจของพระเจ้าหรือเป็นดังโอกาสที่จะให้ปราศจากเชื้อโรค อาจจะเรียกว่า เป็นแก่นแท้จากพระเจ้าในการรับรองการไม่สร้างสรรดังเป็นความต้องการโดยเสมอที่จะต้องทำกิจกรรมบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยเป็นวงจรที่ไม่รู้จักจบสิ้นของการล้างซึ่งโดยธรรมชาติดูเหมือนว่าจะขาดความรู้สึกโดยสิ้นเชิงหรือผลสัมฤทธิ์ที่เพียงพอในการชำระล้างอย่างถาวร ปฏิกริยาเหล่านี้ต่อความต้องการในการทำให้สะอาดและศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนว่าจะพลาดการสร้างการเก็บสะสมบุญกุศลในขณะที่พวกเขามีชีวิตที่สั้นซึ่งเป็นการปฏิเสธด้วยความสั้นของกาลเวลาในขณะที่พวกเขากลับมาล้างตนเองตลอดไป ดังนั้นมันจึงปรากฎว่าความต้องการในการทำซ้ำ ๆ นี้ต้องเป็นการล้างอย่างหมดจดนั้นไม่สามารถเอาความรู้สึกในขั้นสุดท้ายนั้นออกไปได้ในขณะที่ยังทิ้งไว้ซึ่งบางแง่ของความไม่สะอาดและความจำเป็นของใครบางคนผู้ที่สามารถจะมาถึงจุดที่ไม่สามารถเอื้อมถึงนั้นได้ในอัตลักษณ์ของตนเองเป็นดังการขจัดมลทินของหัวใจมนุษย์ออกไป

อย่างไรก็ตามมีผลประโยชน์จากการปฏิบัติที่แท้จริงในทางสุขอนามัยเมื่อมีการอาบและล้างแต่เมื่อมาถึงเรื่องที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงภายในและภายนอกผ่านการทำทางกิริยานี้ซึ่งเป็นการล้างผิวภายนอกแต่ให้การรักษาลึกลงไป ซึ่งอาจจะเป็นการปรากฎออกมาอย่างจริงใจและชัดเจนที่เป็นรูปแบบของปรีชาญาณ แต่ยังไม่สามารถที่จะเจาะลึกลงไปเหนือระดับพื้นผิวที่เชื่อมต่อสิ่งที่โพ้นจากขอบเขตทางกายภาพที่เป็นวิญญาณที่ไม่ใช่วัตถุและอมตะในขณะที่มุ่งอุทิศไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีในด้านจิตใจของแต่ละปัจเจกบุคคล

รับไบเยซูอาได้กล่าวในวิธีการเช่นนี้ไปยังเพื่อนชาวยิวในเรื่องการปฏิบัติเช่นนี้

มัทธิว 15:1-2,11, 17-20
15 1เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มมาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลว่า 2’ทำไมศิษย์ของท่านละเลยขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษ? เขาไม่ล้างมือเมื่อรับประทานอาหาร
11สิ่งที่เข้าไปทางปากไม่ทำให้มนุษย์มีมลทิน แต่สิ่งที่ออกมาจากปากต่างหากทำให้มนุษย์มีมลทิน’
17ท่านไม่เข้าใจหรือว่าสิ่งต่างๆที่เข้าไปในปากย่อมลงไปในท้องแล้วถูกขับถ่ายลงท่อระบายไป 18แต่สิ่งที่ออกมาจากปากนั้น ออกมาจากใจ สิ่งเหล่านี้แหละทำให้มนุษย์มีมลทิน 19ใจเป็นที่เกิดของความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การมีชู้ การสำส่อน การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย 20การกระทำเหล่านี้ทำให้มนุษย์มีมลทิน ส่วนการรับประทานโดยไม่ล้างมือ ไม่ทำให้มนุษย์มีมลทิน’

จากความสกปรกของมนุษย์ในแง่อื่น ๆ ของเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความรู้สึกและความเข้าใจที่มีนัยสำคัญของการตระหนักที่ลึกกว่าเพื่อจะขจัดสิ่งมลทินของความผิดและความละอายที่เหลือจากความล้มเหลวทางศีลธรรม สิ่งนี้เตือนถึงละครเช็คสเปียร์ที่ท่านหญิงแมคเบธตะโกนว่า “ออกไป ไอ้จุดนรก” ซึ่งเกี่ยวข้องกับบทบาทของเธอต่อความตายของกษัตริย์ดุนแคนที่เป็นความต้องการที่จะขจัดลอยเลือดที่ติดบนผิวหนังบนมือของเธอ

ในบางแง่ของการกระทำพิธีการเหล่านี้มันกลับมาเป็นหนทางทางอ้อมผ่านการกระทำในการสารภาพอย่างเปิดเผยในขณะที่ยอมรับสภาพแห่งความรู้ตายของพวกเขาและดังนั้นการล้างจึงเป็นวิธีการตอบสนองต่อความสามารถของมนุษย์และความพยายามของตนเองต่อการทำงานที่ลึกลับให้เพียงพอต่อความล้มเหลวทางศีลธรรมของตนโดยแรงขับที่ทำขึ้นเพื่อทำความสะอาด อีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเชื่อว่าการผิดพลาดนี้เป็นการแสดงถึงประสิทธิผลโดยไม่คำนึงถึง ความตระหนัก ความปรารถนา ความศรัทธา และ ความร้อนรนของพวกเขาในการประกอบพิธีเหล่านี้เป็นดังหนทางที่เพียงพอในการคืนดีหรือทำสิ่งเหล่านี้ให้ถูกต้องผ่านความสามารถที่จำกัดและต้องพึ่งพาในองค์ประกอบแบบมนุษย์ในการกระทำแห่งความสำนึกถึงบาปผิดเพื่อจะชดเชยและทำให้สงบ การขอความกรุณา และ การยอมรับโดยหลายหลากวิธีการเหล่านี้ แม้ว่าถ้าสิ่งทั้งหมดนี้ที่มีความเป็นไปได้เมื่อมันได้มีความเพียงพอในการลบล้างสถานภาพของความไม่สะอาดและในบางระดับของการชำระล้างอันสามารถลบล้างลอยสักต่าง ๆ นั้นให้ออกไปซึ่งได้คงค้างอยู่ที่ลบไม่ออกบนหัวใจซึ่งสลักไว้ในจิตและวิญญาณด้วยความตายของทั้งการกระทำในอดีตและอนาคตนั้น

โดยสรุปแล้ว มีความรู้สึกสำนึกที่แท้จริงซึ่งดำรงอยู่ภายในมนุษย์ทุกคนที่เราได้ทำลายมาตรฐานของพระเป็นเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ในการระบุถืงความรู้สึกที่กำลังจะเกิดขึ้นของการพิพากษาในอนาคตสำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำการแก้ไขข้อขัดแย้งสำคัญนี้

โรม 2:14-16
14ดังนั้น เมื่อคนต่างชาติซึ่งไม่รู้จักธรรมบัญญัติ และประพฤติตามข้อกำหนดของธรรมบัญญัติจากสามัญสำนึก แม้พวกเขาจะไม่รู้จักธรรมบัญญัติ พวกเขาก็เป็นธรรมบัญญัติสำหรับตนเอง  15พวกเขาแสดงให้เห็นสิ่งที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ในใจตามมโนธรรมและบางครั้งความคิดตามเหตุผลที่กล่าวโทษก็ป้องกันพวกเขา  16ในวันที่พระเจ้าทรงตัดสินพิพากษาความคิดที่เร้นลับของมนุษย์ทุกคนด้วยเดชะพระเยซูคริสตเจ้า ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไว้

มนุษยชาติได้ดิ้นรนในการเกี่ยวข้องกับความตึงเครียดนี้ในการสร้างรูปแบบหรือการสร้างการสนทนาทางศาสนาที่เป็นภาพลวงของคติความเชื่อนี้เป็นดังการถางแนวทางในการค้นพบวิธีการนำไปสู่หนทางนี้ต่อการเห็นแจ้งในขณะที่ความเป็นศัตรูของคนโรคจิตที่ต่อต้านพระเจ้าที่หลอกลวงซึ่งปฏิเสธความจำเป็นที่จะจากบ้านของพวกเขาในขณะที่ท่องเที่ยวไปตามหนทางการสำรวจ ซึ่งจากความเชื่อของพวกเขาเอง นำไปที่ไหนก็ไม่ทราบดังศาสนาที่กลับกลายมาเป็นหนทางที่คนที่มีจิตใจอ่อนแอจนเป็นแบบโรคประสาทฟรอยด์แห่งความเพื้อฝันในการแสวงหาหนทางในการสร้างดินแดนที่ตนเชื่อว่ามีอยู่จริง ดังนั้นมันเป็นเรื่องที่ช่างน่าสนใจ ในแง่หนึ่ง มนุษยชาติได้พบวิธีที่จะตัดผ่านหรือจัดการกับสิ่งนี้ได้ในขณะที่ต้องจัดการกับตนเองในสิ่งที่เรียกร้องอย่างมีสติจากพระผู้สร้าง

ในการตอบสนองวิกฤตการณ์นี้ ข้าพเจ้าอยากแนะนำวิธีการแก้ไขโดยวิธีของบุคคลและภารกิจของพระคริสต์ผู้ที่ไม่เหมือนกับในศาสนาอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความพยายามของมนุษย์ที่จะแสวงหา การเข้าถึง หรือ การมาถึงพระเป็นเจ้าแต่เป็นเรื่องที่พระเป็นเจ้าเองแสวงหามายังมนุษย์ในการสร้างสัมพันธ์และมีการตอบรับในความไว้วางใจจากทั้งสองฝ่าย สิ่งนี้ไม่ได้เป็นไปตามความแข็งแกร่ง หรือ ในเรื่องของความอ่อนแอของความสามารถทางบุคคลของมนุษยชน แต่เป็นเรื่องของความสะอาดและบริสุทธิ์ที่ได้รับประทานมาเป็นพระคุณที่ได้รับมาฟรี เป็นผลจากการเป็นผู้ที่ติดตามและนมัสการซึ่งพระเป็นเจ้าเอง และไม่ใช่เรา ทำให้เกิดขึ้น

ทีตัส 3:5
5พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นมิใช่เพราะกิจการชอบธรรมใด ๆ ที่เรากระทำ แต่เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ ทรงใช้น้ำชำระเราให้สะอาด เราจึงเกิดใหม่และได้รับการฟื้นฟูโดยพระจิตเจ้า

โรม 6:23
23เพราะ ค่าตอบแทนที่ได้จากบาปคือ ความตาย ส่วนของประทานที่พระเจ้าประทานให้เปล่า คือชีวิตนิรันดรในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

เอเฟซัส 2:8-9
8ท่านได้รับความรอดพ้นเพราะพระหรรษทานอาศัยความเชื่อ ความรอดพ้นนี้มิได้มาจากท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า  9มิได้มาจากการกระทำใด ๆ ของท่าน เพื่อมิให้ใครโอ้อวดตนได้

1 ยอห์น 1:7
7แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตในความสว่างดังที่พระองค์ทรงดำรงอยู่ในความสว่างแล้ว เราทุกคนก็สนิทสัมพันธ์กันด้วยและพระโลหิตของพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราให้สะอาดจากบาปทั้งปวง

1 ยอห์น 1:9
9พระองค์ทรงซื่อสัตย์และทรงเที่ยงธรรม   ถ้าเราสารภาพบาปพระองค์จะทรงอภัยบาปของเรา

และจะทรงชำระเราให้สะอาดจากความอธรรมทั้งปวง

ท่านอาจจะต่อต้านความเชื่อในคริสตศาสนาในการไม่เป็นคนที่มีความแตกต่างไปมากกว่ารูปแบบการแสดงออกของทางศาสนาโดยพิธีศักดิ์สิทธิ์ในการล้างด้วยน้ำล้างบาปและในส่วนนั้น ข้าพเจ้าอาจจะเห็นด้วยกับท่านว่ามันไม่ได้เป็นอะไรแค่เพียงการอาบน้ำและการผ่านในเคลื่อนไหวในการระบุตัวตนเข้ากับศาสนจักรแต่ผู้ที่โดยแก่นแท้เป็นผู้ที่ไม่สะอาดเป็นดังผู้ที่มีความเชื่อจอมปลอม ศีลล้างบาปที่แท้จริง อันเป็นแก่นแท้แห่งความเชื่อ เป็นการรับใช้ขั้นแรกที่เป็นสัญญลักษณ์หรือสัญลักษณ์ภายนอกที่มีประสิทธิภาพและพลังในการชำระล้างของโลหิตแห่งชีวิตของพระเยซูที่สมบูรณ์และมีค่ายิ่งซึ่งชำระให้บริสุทธิ์และชำระบาปของผู้ที่เชื่อทั้งสิ้นในการประกาศอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรมและเป็นการเข้ากับการลงมาของพระจิตเจ้าที่เปลี่ยนตัวบุคคลผู้ที่ผ่านกระบวนการสร้างใหม่ที่นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ภายใน ดังนั้นการกระทำในศีลล้างบาปคือพยายามหรือประจักษ์พยานที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการรวมขององค์ประกอบของไฮโดรเจนและอ๊อกซิเจนเพื่อจะได้ประโยน์จากของเหลวแต่มันเป็นการผ่านงานช่วยให้รอดของพระคริสต์และน้ำทรงชีวิตของพระจิตเจ้าที่เป็นดังเครื่องผลิตกระแสไฟที่อยู่ภายในตัวบุคคลที่ปรากฎมีหลักฐานโดยการเปลี่ยนแปลงในหัวใจและชีวิต เป็นพระเป็นเจ้าเองที่ประทานของขวัญที่ดีแห่งความรอดนี้และพระจิตเจ้าซึ่งไม่ได้ดำรงอยู่โดยผ่านความพยายามของมนุษย์ผู้ล้างบาปที่ใส่ลงไปและดังนั้นน้ำล้างบาปจึงกลับกลายมาเป็นเสี้ยวหนึ่งของความเป็นจริงของสวรรค์ของอำนาจของพระเป็นเจ้าในครรถ์นี้เหมือนกับการทำกิจกรรมให้การให้กำเนิดใหม่ให้กับบุคคล ไม่ได้เป็นการเกิดใหม่ของเจตจำนงมุนษย์ หรือ ต้นกำเนิดใหม่ เช่นในกิจกรรมทางศาสนาต่าง ๆ แต่เป็นการผ่านการสนิทชิดใกล้กับพระเป็นเจ้าในการเกิดมาจากเบื้องบนและเกิดใหม่อีกครั้งผ่านทางพระคริสต์และพระจิตเจ้า การเกิดใหม่นี้ไม่สับสนกับการเกิดใหม่ในทางฮินดู และ ทางพุทธในเรื่องความคิดรวบยอดของการเวียนว่ายตายเกิด แต่เป็นผลจากงานของพระคริสต์ผู้ที่ส่งพระจิตเจ้าเป็นดังสิ่งที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่พระองค์ทรงเริ่มทำก่อนโดยติดตามด้วยการกระทำที่ตอบสนองของความเชื่อหรือความไว้วางใจในความรอดของพระองค์

พระวรสารเหมือนกับความจริงนี้ที่มีพื้นฐานจากการไถ่บาปในอนาคตของชาวอิสราเอลตามคำเล่าของประกาศกชาวฮีบรู

เอเซเคียล 36:25-27
25เราจะเอาน้ำสะอาดพรมเจ้า และเจ้าจะสะอาดพ้นจากมลทินทั้งหลายของเจ้า และเราจะชำระเจ้าจากรูปเคารพทั้งหลายของเจ้า26เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้า และเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และจะให้ใจเนื้อแก่เจ้า27และเราจะใส่วิญญาณของเราภายในเจ้า และกระทำให้เจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และเจ้าจะรักษาคำตัดสินของเราและกระทำตาม

รับไบเยชัวกล่าวมันในวิธีการนี้ระหว่างการฉลองกระโจมหรือสุคคตใน

ยอห์น 7:37-39
37ในวันสุดท้ายของเทศกาลอยู่เพิงซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุด พระเยซูเจ้าทรงยืนและทรงประกาศเสียงดังว่า’ผู้ใดกระหาย จงมาหาเราเถิด! 38ผู้ที่เชื่อในเรา จงดื่มเถิด!ตามที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “ลำธารที่ให้ชีวิตจะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น”‘ 39พระเยซูเจ้าตรัสดังนี้หมายถึงพระจิตเจ้า ซึ่งผู้ที่เชื่อในพระองค์จะได้รับ แต่เวลานั้นพระเจ้ายังมิได้ประทานพระจิตเจ้าให้ เพราะพระเยซูเจ้ายังมิได้รับพระสิริรุ่งโรจน์

ชาวยิวโบราณในแง่ที่ดีที่สุดมีความพึงพอใจชั่วคราวในการทำหน้าที่ในจารีตพิธีต่อพระเป็นเจ้าและดังที่ระบุใน ฮีบรู 10 สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสัญลักษณ์แต่ไม่ใช่ความเป็นจริงในตัวมันเองดังที่การถวายของพระคริสต์ในการชำระล้างของพวกเราที่มอบให้เพียงครั้งเดียวสำหรับตลอดไปเป็นการถวายบูชานิรันดรเป็นดัง “ลูกแกะของพระเป็นเจ้า” ผู้ที่ลบล้างบาปของโลก การกล่าวว่าชาวยิวไม่ต้องการการถวายบูชาในทุกวันนี้ที่เป็นจารีตของการภาวนา การจำศีลอดอาหาร และ กิจการดีที่จะเพียงพอในการเป็นการที่ทำให้พึงพอใจเป็นกิจกรรมที่ละเมิดและเป็นกบฎต่อพระวาจาที่บันทึกไว้เป็นดังการปฏิเสธต่อการเสร็จสมบูรณ์ของโตราห์ใน

เลวีนิต 17:11
11เพราะ‍ว่า​ชีวิต​ของ​สัตว์​ทุก​ตัว​อยู่​ใน​เลือด เรา​ได้​ให้​เลือด​แก่​เจ้า​ทั้ง‍หลาย​เพื่อ​ใช้​บน​แท่น‍บูชา เพื่อ​จะ​ลบ​มลทิน​ของ​เจ้า​ทั้ง‍หลาย เพราะ‍ว่า​โลหิต​เป็น​สิ่ง​ที่​ใช้​ลบ​มลทิน เพราะ​ชีวิต​เป็น​เหตุ

ไม่ว่าท่านจะทำ มิทซว๊อทมากมายแค่ไหนสิ่งที่แน่นอนคือท่านได้ทำเพียงพอหรือบาปของท่านได้รับการอภัยหรือไม่ นอกเหนือไปจากการบูชาของพระเป็นเจ้าที่ทรงประทานให้แห่งความเมตตาและพระพรผ่านทางพระแมสซีอาห์ใน อิสยาห์ 53?

เช่นเดียวกับเพื่อนมุสลิมของข้าพเจ้าที่ปฏิเสธความตายของพระเยซูว่าเป็นดังลักษณะที่คล้ายกันของความผิดพลาดในการทำหน้าที่ทางประกาศกทั้งสิ้นที่พลาดประเด็นที่ว่าสิ่งนี้เป็นแผนการแห่งพระสิริมงคลของพระเป็นเจ้าที่จัดหารูปแบบของอับราฮัมในชดเชยการไถ่โทษความผิดของพระแมสซีอาห์ซึ่งยอมรับการดูหมิ่นและความอับอายชั่วคราวเป็นดังความประสงค์และโอกาสแห่งความยินดีเมื่อทรงรับทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนในการนำหลาย ๆ คนไปสู่สิริมงคล ฮีบรู 2:9-18; 12:2.

การตรึงกางเขนของพระเยซูคริสต์และอิสลาม

ในตอนจบ พระเยซูสามารถประทานน้ำทรงชีวิตซึ่งทำให้วิญญาณของท่านพึงพอใจและทำให้สดชื่นได้โดยสมบูรณ์และเต็มเปี่ยมและแม้แต่พระบิดาเจ้าสวรรค์สามารถนำท่านมาสู่น้ำนี้ พระองค์ไม่ทรงบังคับให้เราดื่มมัน ดังนั้นในที่สุด ข้าพเจ้าขอให้กำลังใจเพื่อนของข้าพเจ้า เช่นเดียวกับหญิงชาวซามาริทัน เพียงแต่ขอน้ำทรงชีวิตนี้ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการดับความกระหายทางด้านจิตวิญญาณ ของท่านนอกเหนือไปจากศาสนา ลัทธิ และปรัชญาผิด ๆ อื่น ๆ ที่ไม่เพียงแต่ปล่อยให้ท่านไม่ได้รับความช่วยเหลืออะไรและยังคงกระหายอยู่อีกเท่านั้น

ยอห์น 4:10, 13-14
10พระเยซูเจ้าตรัสตอบนางว่า”หากท่านรู้จักของประทานของพระเจ้าและรู้จักผู้ที่บอกท่านว่า’ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด’  ท่านคงกลับเป็นผู้ขอและผู้นั้นจะให้ “น้ำที่ให้ชีวิต” แก่ท่าน” 13พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่าทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก 14แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้นั้นจะไม่กระหายอีกน้ำที่เราจะให้แก่เขาจะกลายเป็นธารน้ำในตัวเขา ไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร”

มธ. 11:28-30
28’ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน 29จงรับเอาแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน จิตใจของท่านจะได้รับการพักผ่อน 30เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา’

 

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

Ritual cleansing and purification

ลัทธินอกศาสนาและอิสลาม

Friday, October 24th, 2014

ข้าพเจ้าได้เขียนก่อนหน้านี้เกี่ยวกับอิทธิพลก่อนยุคอิสลามที่เป็นการนับถือเทพเจ้าหลายองค์และรูปเคารพที่มีต่ออิสลามในบทความต่อไปนี้

The Crescent Moon and Star of Islam
วิหารกะบะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่

อีกครั้งที่เหตุการณ์ที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับลัทธินอกศาสนาภายในอิสลามที่มีการอ้างอิงถึงดังเป็น “ถ้อยคำซาตาน” ซึ่งน่าจะเป็นจากการที่มูฮัมหมัดได้ท่องจาก ซูเราะห์ 53:19-20 ซึ่งเป็นการบันทึกทางประวัติศาสตร์ในแหล่งข้อมูลอิสลามในยุคต้น ๆ ที่รับมาจากปัจเจกบุคคลที่น่าชื่อถือเช่น อีบน์ ซาด และ อัลทาบารี ซึ่งชีวิตประวัติของพวกเขาเกี่ยวกับมูฮัมหมัด อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ที่อ้างว่าเป็นการให้ที่พำนักกับชาวเมกกะซึ่งเป็นการยอมรับถึงคำวิงวอนที่ถูกต้องและสัมฤทธิ์ผลต่อเทพเจ้าหรือพระเจ้าเพศหญิงที่รู้จักกันในนาม อัลลัท, อัลอุซ์ซาห์ และ มานัท หรือไม่ก็อ้างถึงลูกสาวสามคนของอัลเลาะห์ เพื่อช่วยให้ผู้คนของพวกเขาและเพื่อนบ้านของเขากลับใจมานับถืออิสลามแต่ต่อมาได้นำออกไปและถือว่าเป็นการทดลองล่อลวงจากซาตานซึ่งกาเบรียลได้ตำหนิมูฮัมหมัดอย่างรุนแรงในการทำให้การเปิดเผยของพระนั้นไม่บริสุทธิ์และนำไปสู่ถ้อยคำในคัมภีร์อัลกุรอานข้อที่ 22:52,5 ตลอดจนการปฏิเสธพระเท็จเทียมเหล่านี้ใน 53:21,22

ในสรุป ข้าพเจ้าคิดว่าการพรรณนาเหล่านี้แสดงถึงการทำซ้ำของกระบวนการที่ได้เกิดขึ้นเมื่อมูฮัมหมัดได้อำนวยความสะดวกชั่วคราวให้ชาวยิวแห่งเมดินาในการภาวนาหันหน้าไปทางทิศเหนือของกรุงเยรูซาเลมในขณะที่หันหลังให้กับกรุงเมกกะซึ่งต่อมาเขาได้ถอนคำเหล่านี้ในเมื่อชาวยิวปฏิเสธข้อความของเขาและขับไล่เขาออกไปอย่างรุนแรงจากเมืองเมดินา
ในตอนปิดเรื่องทั้งหมดนี้ที่ขัดแย้งกับหลักการแก่นกลางความเชื่อของอิสลามในการประกาศยืนยันที่หนักแน่นของ “ซาฮาดา” อันเป็นรูปแบบข้อความเชื่อที่เกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียวของพระเป็นเจ้าและความถูกต้องของบทบาทของมูฮัมหมัดในฐานะที่เป็นประกาศกเที่ยงแท้ตลอดลงมาในข้อความเชื่อของ “อิสมา” ที่ได้รับการปกป้องจากพระเป็นเจ้าและกันมูฮัมหมัดออกจากการทำผิดพลาดซึ่งในกรณีนี้ไม่ได้เป็นการจดตามคำบอกอย่างสมบูรณ์จากกาเบรียลว่าเป็นการปลอมแปลงคำพูดของอัลเลาะห์ เช่นเดียวกันที่มีเหตุผลที่จะสงสัยในการเปิดเผยอื่น ๆ ของมูฮัมหมัดเช่นกัน และบางทีอาจจะเป็นผลงานส่วนตัวหรือการดลใจจากซาตานด้วยซ้ำไป

โดยสรุปสิ่งนี้อาจจะเป็นเรื่องที่น่าขายหน้าหรือการเป็นการนำเสนอแบบไม่ได้ยกยอปอปั้นให้กับมูฮัมหมัดในฐานะที่เป็นประกาศกที่รักและเคารพแต่มันก็ควรที่จะแยกกันระหว่างข้อความโดยเฉพาะจากผู้ที่แก้ต่างของอิสลามจากการเห็นโอกาสนี้เป็นเพียงการทดสอบหรือการปฏิเสธโดยสิ้นเชิงต่อวรรณกรรมทั้งหมดด้วยกัน

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

Paganism and Islam

มูฮัมหมัดและอัศจรรย์ต่าง ๆ

Friday, October 24th, 2014

คัมภีร์อัลกุรอานบอกเป็นนัยว่ามีอัศจรรย์เดียวที่มูฮัมหมัดทำคือการท่องการเผยแสดงของคัมภีร์อัลกุรอาน , ซูเราะห์ 29:49-52 , ซูเราะห์ 17:90-93 และข้าพเจ้าได้เขียนเพิ่มอีกเกี่ยวกับ คัมภีร์อัลกุรอานที่

คัมภีร์อัลกุรอานศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่

ถ้าข้อความในคัมภีร์อัลกุรอานเป็นจริงแล้วนั้นสิ่งนี้ก็จะขัดแย้งกับวรรณกรรมอิสลามที่ได้ยอมรับเช่น ซาฮี บูคฮารี ฮาดิธ ซึ่งมีการอ้างถึงจิตวิญญาณในสิ่งต่าง ๆ ที่แปลกประหลาดตามที่ระบุไว้ว่ามูฮัมหมัดปลอบโยนลำต้นไม้ที่ร้องไห้โดยการถูมันด้วยมือ 4.783 และโดยการทำอัศจรรย์ให้ชาวเมกกะโดยแสดงให้พวกเขาเห็นดวงจันทร์แบ่งออกเป็นสองส่วนระหว่างภูเขา ฮีแรม 5,208.

โดยชัดเจนเรื่องเล่าชาวบ้านเหล่านี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นและเป็นตำนาน ก็คล้าย ๆ กับพระวรสารปลอมที่เล่าเรื่องต่าง ๆ ของ นัก ฮัมมาดี ซึ่งบรรจุเรื่องเล่าที่ไม่น่าเชื่ออันมีพื้นฐานจากจินตนาการของตำนาน มุสลิมบางคนไปไกลขนาดใช้วรรณกรรมปลอมของคริสตชนเกี่ยวกับการตายที่น่าสยดสยองแต่ยังมีความรุ่งเรืองของเขาอีกด้วย
ข้าพเจ้าเขียนอีกบทความหนึ่งเกี่ยวกับการตรึงกางเขนเป็นดังการยืนยันความถูกต้องในการเป็นประจักษ์พยานในคัมภีร์ไบเบิ้ลต่อเหตุการณ์ทางประว้ติศาสตร์นี้ใน

การตรึงกางเขนของพระเยซูคริสต์และอิสลาม

สรุปแล้ว ในพวก ฮาดิธเฉกเช่น นัก ฮัมมาดี การเล่าเรื่องนี้เกิดมาหลายปี หลังจากชีวิตของพระคริสต์และมูฮัมหมัดซึ่งมีเวลาเพียงพอในการเสริมเติมแต่งการพรรณนาของพวกเขาในการสร้างเรื่องราวทางเทวตำนานในเรื่องส่วนตัวและงานของพวกเขาได้

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

Muhammad and Miracles

 

 

Holman QuickSource Guide to Christian Apologetics, copyright 2006 by Doug Powell, ”Reprinted and used by permission.”

พระเยซูประกาศกคนสุดท้าย

Friday, October 24th, 2014

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้าพเจ้าได้มีเพื่อนมุสลิมบอกข้าพเจ้าว่ามูฮัมหมัดเป็นประกาศกคนสุดท้าย สิ่งนี้เป็นความเชื่อที่มาจากหนังสือ ฮีบรูและสามารถพบในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ  18:15
พระคัมภีร์ตอนนี้ไม่เคยมีเจตนาที่จะเป็นการทำให้สมบูรณ์ไปสำหรับศาสดาของอิสลาม ซึ่งสำหรับประกาศกนี้เป็นตัวแทนในศาสนาต่างด้าวและพระเท็จเทียมหรือรูปเคารพสำหรับชาวฮีบรู จึงเป็นการประยุกต์ใช้ที่ผิด
โมเสสพูดคำนี้โดยเฉพาะกับชาวฮีบรูและมันพบการประยุกต์ใช้สำหรับชาวฮีบรูกับชาวฮีบรูในที่สุด ก่อนอื่นหมดโตราห์มีกำเนิดต่อประชากรในพันธสัญญาของอิสราเอลและจากอัครสาวกเปโตรใน กิจการอัครสาวก 3:22 เช่นกันกับ สเตเฟน ในกิจการอัครสาวก 7:37 มันได้มีการทำให้สำเร็จไปในประกาศกคนสุดท้ายคือพระเยซู

โมเสสบอกลูกหลานของอิสราเอลว่าพระเป็นเจ้าจะทรงยกประกาศกเหมือนกับตัวฉันเองจากท่ามกลางพี่น้องของพวกท่าน จุดที่มีนัยสำคัญเมื่อมีการตีความข้อความนี้ในคำว่า “พี่น้อง” ซึ่งใช้กับลูกหลานของชาวฮีบรู

แม้ว่าจะมีการผูกมัดจากบรรพบุรุษระหว่าง หนังสือฮีบรูและของลูกหลานชาวอาหรับในพระคัมภีร์ซึ่งประยุกต์คำนี้กับคนในหนังสือนี้หรือชาวอิสราเอล
ในที่สุดพระคัมภีร์นี้คริสตชนไม่ได้บิดเบือนหรือผิดเพี้ยนไปโดยการโน้มน้าวด้วยคำในพระคัมภีร์ อย่างไรก็ตามโตราห์เป็นหัวใจของศาสนายูดาผู้ที่ไม่ได้มีความเห็นใจในการยอมรับให้ชื่อพระเยซู ในการขานนามหรือสถานะว่าเป็นประกาศก

ท่านเช่นกันอาจจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจในกลุ่มหลักของศาสนายูดาในการปฏิเสธพระเยซูว่าเป็นประกาศกที่ยิ่งใหญ่แต่เขาไม่เห็นด้วยกับการที่อิสลามจะเลยเถิดเอาข้อความนี้ไปใช้ด้วยเช่นกัน

ที่สุดในขณะที่ท่านศึกษาภารกิจของประกาศกของอิสราเอล บ่อยครั้งท่านจะพบการปฏิเสธอันเป็นปฏิกริยาหลักจากชุมชนชาวยิว หนึ่งในคำในพระคัมภีร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับพระแมสซีอาห์ที่ประยุกต์กับพระเยซูมาจากประกาศกอิสยาห์ ในอิสยาห์ 53 กล่าวถึงพระเยซูว่าเป็นผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ผู้ที่ถูกปฏิเสธและถูกดูหมิ่นจากผู้คนแต่ยังได้การยอมรับจากพระเป็นเจ้า
ข้าพเจ้าภาวนาให้ท่านจะไม่ปฏิเสธพระเยซูในตำแหน่งที่ทรงมีสิทธิ์ดังเป็นผู้มีอำนาจคนสุดท้ายที่พระคัมภีร์พบความสมบูรณ์สูงสุดและจุดประสงค์ของมัน
สำหรับเสียงของประกาศกที่ใช้ในการแยกแยะผลลัพทธ์ของ “ทายาท” สำหรับคนที่อาจจะ “ได้ยิน” และรับพระวาจาและเสร็จสมบูรณ์ในการสถาปนาในความสิ้นสุดในตัวบุคคลและผลงานของพระเยซู ฮีบรู 1:1-2 ผู้ที่มีหูที่ได้ฟังอาจจะได้ยินในสิ่งที่พระจิตของพระเป็นเจ้ากำลังกล่าว ท่านกำลังฟังเสียงของประกาศกของพระเป็นเจ้ารึเปล่า?

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

Jesus the Last Prophet

พระเยซูเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า

Friday, October 24th, 2014

อิสลามได้สอนว่าพระเป็นเจ้าไม่มีบุตรและข้าพเจ้าต้องกล่าวว่าโดยทั่วไปข้าพเจ้าเห็นด้วยกับท่านหากอิงจากความคิดของท่านในเรื่องการเป็นบุตร อย่างไรก็ตามพระเยซูเกิดมาในวิธีการที่เป็นเอกลักษณ์และมหัศจรรย์ ข้าพเจ้าเห็นด้วยที่ว่าพระเป็นเจ้าไม่ได้มีเพศสัมพันธ์หรือแพร่พันธ์ในแบบนั้น นี่คือความเชื่อที่วนเวียนอยู่ในเทวตำนานของคนต่างศาสนา และยังมีลัทธิต่าง ๆ ที่สอนแบบนี้

ดร.ไมเคิล บราวน์ผู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในทางด้านภาษาอาหรับ-ฮีบรู ซึ่งเป็นภาษาและวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวยิวและพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้ให้คำวิจารณ์ในธรรมชาติของความคิดนี้ เพื่อเริ่มต้นเราต้องจำไว้ว่าเราที่อยู่ในความคิดของศตวรรษที่ 21 ซึ่งจะไม่ตรงกับแนวคิดของฮีบรูโบราณ

จริง ๆ แล้ว คำว่าบุตรของพระเป็นเจ้าได้นำมาใช้หลายครั้งในพระคัมภีร์ฮีบรูซึ่งพระเป็นได้ที่มีความสัมพันธ์กับอิสราเอลในฐานะที่เป็นบุตรของพระองค์ เช่นเดียวกับกษัตริย์ และเทวดาด้วย เมื่อพระเยซูเป็นพระแมสซีอาห์แล้วนั้น พระองค์เป็นตัวแทนสูงสุดภายใต้ชื่อนี้ที่จากการมองว่าพระองค์เป็นลูกหลานของชาวอิสราเอลแต่พระองค์เป็นกษัตริย์และพระเจ้าของพระเจ้าในที่สุดพระองค์ได้รับยกขึ้นเหนือกว่าทุกสิ่งในสวรรค์หรือเทวดาทั้งมวล การให้ความน่าเชื่อถือของพระองค์นี้ดังนั้นพระองค์ย่อมสมควรจากสิ่งทั้งปวงที่จะได้ชื่อเป็นบุตรของพระเป็นเจ้ามากขึ้นไปอีก

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลคำฮีบรูที่เรียกบุตรคือ “เบน” หรือ “บาร์” ในภาษาอาราเมอิค และ “อิบน์” ในอาราบิค มันสามารถอ้างถึงการเป็นบุตรตามสายเลือดตามตัวอักษรซึ่งท่านเข้าใจถึงการใช้คำนี้ว่า “บุตร” หรืออาจจะพูดในเชิงเปรียบเทียบเช่น “บุตรทั้งหลายของประกาศก” ซึ่งหมายถึงสาวกของบรรดาประกาศก เมื่อมันอ้างอิงถึงกษัตริย์แห่งอิสราเอลมันก็หมายถึง “บุตร” โดยการรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมจากพระเป็นเจ้าใน 2ซามูเอล 7:14 ซึ่งกล่าว่า “ข้าพเจ้าจะไปเป็นบิดาและเขาจะเป็นบุตรของข้าพเจ้า” และมันยังสามารถกล่าวถึงชนชาติอิสราเอลใน หนังสืออพยพ 4:22-23 ที่ระบุว่าพระเจ้าตรัสว่า “คนอิสราเอลเป็นบุตรหัวปีของเรา จงปล่อยบุตรของเราให้ไปนมัสการเรา” และในอีกความหมายหนึ่งของบุตรคือบางคนที่เป็นของกลุ่มของสิ่งสร้างเช่นเทวดา ที่กล่าวเช่นนี้ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความว่าเทวดาเป็นพระเป็นเจ้าแต่พวกเขาเป็นเหมือนดังที่อ้างอิงว่าเป็น “benei elohim” หรือ “บุตรต่าง ๆ ของพระเป็นเจ้า” พระวาจานี้สามารถประยุกต์ใช้กับคนที่นบนอบในอิสราเอลที่กล่าวใน โฮเซยา 1:10 ที่กล่าวว่า “พวกเขาได้รับการเรียกว่าเป็นบุตรของพระเป็นเจ้าผู้ทรงชีวิต” 
สุดท้ายนี้ คำนี้สามารถแสดงถึงชื่อหรือภารกิจเฉพาะด้วย ดังนั้นเมื่อพรเยซูที่มีบทบาทที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์สำเร็จในฐานะพระแมสซีอาห์แล้วนั้นพระองค์ได้รับการพิจารณาว่าเป็น “บุตรของพระเป็นเจ้า” สูงสุด

ในบทสรุปคำต่าง ๆ ของ “บุตรชาย” และ “บิดา” ซึ่งสามารถใช้ในแบบเป็นภาพพจน์หรือวิธีเปรียบเทียบที่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ตรงข้ามกับมุมมองวัตถุนิยมสมัยใหม่ร่วมสมัย ดังนั้นหากไม่ใช้อคติของท่านหรือการใช้โดยทั่วไปของคำเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในการแสดงออกทางวัฒนธรรมส่วนตัวของท่านหรือใช้ภาษาท้องถิ่น มันสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ผิดในเมื่อเป็นภาษาต่างด้าวโดยสมบูรณ์ต่อมุมมองทางโลกต่อพระคัมภีร์ไบเบิ้ลโบราณ

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

Jesus is God’s Son

 

 

* Of special note regarding the title and term ‘Son of God’ , it is used in its most unique and supreme sense as a reference to the divinity of Jesus as the Christ in Mathew 28:16-20, John 5:16-27, and Hebrews 1.สภาพความเป็นพระเป็นเจ้าของพระเยซูและอิสลาม-Thai

มุมของอิสลามต่อสตรี

Friday, October 24th, 2014

บางทียังมีกฎที่แตกต่างกันกับสิทธิสตรีในสังคมอิสลามแต่ก็มีพื้นฐานจากประจักษ์พยานจากคัมภีร์อัลกุรอานและสตรีฮาดิทในบางระดับที่จะมีบทบาทเป็นเพียงผู้ที่รับใช้และไม่ค่อยมีบทบาทมากนักในชีวิต มุมมองของอิสลามให้ความสำคัญลำดับแรกให้กับพ่อบ้านและยังบางครั้งให้มีการละเมิดและการปฏิบัติต่อสตรีในบางกรณีอย่างที่ไม่จำเป็นเลย
ในคัมภีร์อัลกุรอาน 4:34 มีการยินยอมให้เฆี่ยนตีสตรี ในพื้นฐานของสามัญสำนึกของมนุษย์ในการที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดแห่งความรักระหว่างคู่บ่าวสาวคือการให้สภาพแวดล้อมที่นำไปสู่ความไว้ใจซึ่งเป็นศูนย์กลางของการปกป้องและการเอาใจใส่ต่อคู่ชีวิต ดังนั้นการกระทำที่ถูกต้องนี้นำไปสู่การแสดงออกที่ถูกต้องของความรักนี้ได้อย่างไร ถ้าสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว สามีจะถูกแก้ไขให้ถูกต้องได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายผิด สิ่งนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรับจากทั้งสองฝ่ายในฐานะที่เป็นการตอบสนองต่อข้อโต้แย้งนี้เว้นแต่ว่าแน่นอนหากว่าเขาไม่เคยทำผิดเลย หรือ ต้องการการมีวินัย/การแก้ไขเพราะเนื่องจากศีลธรรมที่สูงส่งของเขา?
บางครั้งมีความบกพร่องทางศีลธรรมเล็กน้อยในการทำให้สตรีด้อยค่าลงไปซึ่งอาจจะอธิบายว่าทำไมฮาดิธเห็นความจำเป็นในการกระทำเพื่อให้มีระเบียบวินัยต่อเพศหญิง ก่อนอื่นฮาดิธทั้งหมดมีแนวโน้มที่จะนำเสนอมุมมองต่อสตรีว่าเป็นดังสิ่งที่เลวทรามทางด้านจิตและศีลธรรมโดยมีใจโน้มเอียงไปสู่ความชั่วร้าย ฮาดิธระบุว่าสตรีเป็นคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในนรกและสตรีจำนวนน้อยที่ได้ไปสวรรค์ มุสลิม vol. 4 ฮาดิธ6597 หน้าที่ 1432 และมุสลิม vol.4 ฮาดิธ 6600 หน้า 1432
ความคิดทางอิสลามยังคงวนเวียนอยู่รอบ ๆ คุณค่าแบบคนที่ใช้ชีวิตเจ้าสำราญ ซึ่งเกี่ยวพันกับการแสดงออกทางเพศชาย ชายชาวมุสลิมที่เกรงกลัวพระเจ้าจะได้รับความพึงพอใจในการมีเพศสัมพันธ์ในสวรรค์กับสาวพรหมจารีย์ 100 คนในแต่ละวัน ซูเราะห์ 55 สตรีส่วนน้อยจะได้รางวัลที่เท่าเทียมกันในสวรรค์นั้นได้อย่างไร? ภรรยาที่ประพฤติครองตนตลอดชีวิตสมรสสามารถมองตัวเธอเองอย่างมีศักดิ์ศรีได้อย่างไรเมื่อทราบว่าสักวันหนึ่งสามีของเธอจะอยู่กับสตรีแปลกหน้าในพระราชวังสวรรค์ที่เต็มไปด้วยความสุขยินดีและในแบบกามอารมณ์ที่พบในความคิดของความสุขนิรันดร์นั้นอย่างไร? ถ้านี่คือเป้าหมายในอนาคตของเขาในการไปสู่สวรรค์แล้วนั้นเป้าหมายระยะสั้นในความสัมพันธ์กับภรรยาของคุณคือสิ่งใด? ถ้าเขาเต็มใจไปรับความบันเทิงที่คล้ายกับความสุขทางกายในนิรันดรภาพแล้วนั่น แน่นอนสิ่งนี้คงไม่ได้ช่วยให้จุดประสงค์ในปัจจุบันกับความสัมพันธ์กับเขา ณ ตอนนี้ บางทีครั้งหนึ่งที่เขาจบลงและพึงพอใจกับคุณในชีวิตนี้ก็จะไม่มีจุดประสงค์สำหรับคุณที่จะติดตามเขาต่อไปในสวรรค์ของเขาเมื่อความต้องการของเขาตอนนั้นในการได้รับและทำให้เต็มเปี่ยมโดยคนอื่น ๆ
คัมภีร์อัลกุรอานและฮาดิธยังได้ถือเอามุมมองในความต้องการต่อความพึงพอใจทางเพศสำหรับสามีโดยไม่ได้คิดถึงภรรยาของเขา คัมภีร์อัลกุรอาน 2:223 มิสคัท อัล-มาซาบี หน้า 691: ทีมิดฮี , บุคฮารี vol.7, ฮาดิธ 121 หน้า 93

เพิ่มเติมจากเรื่องนี้ที่มีความผันแปรและการเบี่ยงเบนทางเพศที่พบในวัฒนธรรมหลากหลายของอิสลามซึ่งรวมถึงการตัดทำให้อวัยทางเพศพิการโดยการตัดคลิทอริสกับเด็กหญิงเพื่อธำรงไว้ซึ่งพรหมจรรย์เพื่อไปสกัดกั้นแรงขับทางเพศของพวกเธอ มีการถกเถียงบางอย่างว่าไม่ใช่มูฮัมหมัดที่ให้ทำกิจกรรมที่ทารุณนี้ แต่อย่างไรก็ตามมันยังคงปฏิบัติกันอยู่ในหลายประเทศ

ประการที่สอง มุสลิมบางคนมีการจัดโสเภณีที่ถูกตามกฎหมายหรือมูตา ซึ่งได้รับอนุญาตภายใต้การหลอกลวงในการแต่งงานชั่วคราวเพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศท่ามกลางชายมุสลิม
อีกสิ่งหนึ่งซึ่งบางทีมีนัยมากกว่าที่เป็นรูปแบบแบบที่ยังสามารถสร้างความผิดปกติในบางสังคมในการมีภรรยาหลายคนซึ่งสามารถเป็นสาเหตุปัญหาทางสังคมภายใต้เครือข่ายของครอบครัว
ไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญทางสังคมหรือทางมนุษย์วิทยาใด ๆ เพื่อจะตระหนักถือผลความเสื่อมทรามต่อมนุษยชาติจากประสบการณ์ของวัฒนธรรมเหล่านี้ คนหนึ่งอาจจะถกเถียงถึงการตั้งกฎระเบียบศีลธรรมสำหรับสังคมอันหนึ่งอันใดแต่เราพูดเกี่ยวกับความต้องการพื้นฐานซึ่งกำหนดความเป็นอยู่ของมนุษย์โดยสากล
บางทีคุณติดอยู่ในโยงใยแห่งวัฒนธรรมอิสลามในที่ซึ่งคนรู้สึกว่าติดกำดักอยู่หรือถูกแยกตัวกันออกไปหรือรู้สึกเศร้าเพียงพอที่คุณไม่รู้ถึงความแตกต่างอะไรทั้งสิ้น คุณไม่เห็นว่าสตรีบางคนเป็นเหยื่อของอาชญากรรมของอิสลามโดยวิธีการแห่งการข่มเหงทางอารมณ์และทางร่างกาย บางทีถ้าคุณไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงเหล่านี้แล้วนั้นบางทีคุณต้องพัฒนาการส่งเสริมในทางที่ผิดนี้ในสังคมอิสลาม บางทีคุณอาจจะได้รับการสอนให้มาถึงจุดที่ว่าคุณไม่มีความคิดเห็นในเรื่องราวเหล่านี้ซึ่งทำให้ข้าพเจ้านำมาสู่ข้อขัดแย้งต่อไป
สืบเนื่องจากสตรีฮาดิธที่มีความสามารถทางสติปัญญาที่จำกัดและน้อยลง สตรีจากจุดนี้ถูกมองว่ามีความฉลาดเพียงครึ่งเดียว เป็นผู้ที่ถูกจำกัดในการแสดงการตัดสินใจ เมื่อคนนำไปสู่ความเชื่อว่าเขาต้อยต่ำกว่าดังนั้นเขาก็จะถูกชักนำและควบคุมได้ง่ายขึ้นเช่นกัน นี่คือสิ่งที่คุณได้รับจากศาสนาที่ชายเป็นใหญ่ในที่ซึ่งมีกฎความเข้มแข็งทางกายภาพมากกว่าคุณธรรม

บูคาฮารี , vol.3, ฮาดิธ 826, หน้า.502
ข้าพเจ้าทราบว่าบล๊อกนี้ดูเหมือนจะเกรี้ยวกราดและตรงประเด็นและข้าพเจ้าหวังว่าข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวอะไรเกินเลยไปจากเรื่องนี้ผ่านการเสนอความคิดเห็นโดยตรงของข้าพเจ้า โดยความยุติธรรมแล้วข้าพเจ้าชื่นชอบวัฒนธรรมที่พอประมาณของอิสลามแต่เป้าหมายไม่สามารถทำให้วิธีการนั้นถูกต้องได้ ในการจับสตรีมาคุมขังในรูปแบบของชีวิตที่ลดความเป็นมนุษย์ของพวกเขา
ข้าพเจ้าอยากจะท้าทายท่านบุรุษทั้งหลาย ให้มองดูอย่างพินิจพิจารณาถึงการกล่าวอ้างของอิสลามและการปฏิบัติและทัศนคติต่อสตรี แม้ว่าท่านอาจจะไม่ได้ปฏิบัติในรูปแบบของการกดขี่เช่นนี้แต่มันยังได้รับการสนับสนุนและถือปฏิบัติจากผู้ที่ปฏิบัติต่าง ๆ ในอิสลาม ในที่มีการพิสูจน์ว่ามันเป็นการกระทำที่ถูกต้องยุติธรรมโดยวิธีการที่พิจารณาว่าเป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์ จงระลึกไว้ว่าสตรีเหล่านี้ที่เป็นมารดาของท่าน ผู้ที่นำท่านมาสู่ชีวิตนี้และเลี้ยงดูเราเมื่อเรายังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พวกเขาสมควรได้รับความเคารพที่พระเป็นเจ้าผู้ทรงประทานสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ให้พวกเขาในการยกระดับบทบาทของพวกเขาในฐานะที่เป็นผู้รับใช้ที่เอาใจใส่ส่วนตัวและการพัฒนาในฐานะที่เป็นชาย
ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านทราบว่าอิสลามได้สร้างพระเจ้าของพวกเขาขึ้นมา แม้ว่าข้าพเจ้าให้ความเคารพต่อความศรัทธาของท่าน ข้าพเจ้าขอท้าทายในความจริง ในการสมอ้างว่าได้พบสิ่งภายใต้ศาสนาซึ่งได้ฝากหนทางของการทำลายในขณะที่ตื่นขึ้น
คำจำกัดความพื้นฐานของลักษณะของพระเป็นเจ้าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลคือความรักและอิสลามได้แสดงให้เห็นว่าเป็นข้อความที่ขัดแย้งกันต่อมุมมองต่อพระเจ้านี้ พระเป็นเจ้าเป็นผู้ทรงความยุติธรรมแต่พระองค์ก็มีความเมตตากรุณา สุภาพ อ่อนโยน เห็นอกเห็นใจ อดทนเป็นเวลานาน และสันติ
สิ่งเหล่านี้เป็นนิสัยที่ท่านได้บรรจุคุณลักษณะในอัลเลาะห์แต่ ในที่มีการพิสูจน์ท่ามกลางสาวกของท่านที่ไหนเล่า แม้ว่า จะมีการหาเงินช่วยเลือการกุศลต่างในส่วนเล็ก ๆ ที่ช่วยคนยากจนแต่โดยทั่วไป แต่ท่านคงไม่เคยเห็นตัวแทนการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมของอิสลามโดยเฉพาะต่อสังคมอื่น ๆ ที่ถูกมองว่าเป็นคนนอกรีต อิสลามไม่ได้เป็นการไขแสดงจากพระเป็นเจ้าแต่เต็มไปด้วยการใช้ความโหดร้ายน่ากลัวและการครอบครองในการใช้กำลังและการบังคับในการนำและแผ่อิธิพลทางโลกของพวกเขา มันไม่เคยสนใจเกี่ยวกับตัวท่านเลยและความสนใจที่แท้จริงคือการครอบครองโลก ท่านอาจจะอ้างว่าเป็นมุสลิมสายกลางซึ่งในสิ่งนี้และในตัวมันเองเป็น ปฏิพจน์ในการเปรียบเทียบความเชื่อและการปฏิบัติของอิสลาม มันเป็นอิสลามที่สั่งการและทำให้ความประพฤติของท่านเป็นไปในทางที่เป็นกลางและขึ้นกับความคิดเห็นของท่านเองในการรับใช้ ถ้าท่านอ้างว่าท่านไม่ได้ติดตามมุมมองทางอิสลามในแง่นี้แต่บางทีท่านเป็นมุสลิมปกติและโดยจิตใต้สำนึกท่านปฏิเสธการมอบตนต่ออัลเลาะห์ บางทีท่านทราบว่าบางทีในส่วนลึกของหัวใจของท่านว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้องและข้าพเจ้าเชื่อว่าสิ่งนี้อาจจะเป็นประตูที่เปิดออกต่อประสบการณ์ความรักอันแท้จริงของพระเป็นเจ้าได้
สำหรับพระเป็นเจ้าผู้ทรงรักโลกจนพระองค์มอบพระเยซูซึ่งใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร
บัดนี้ ท่านสุภาพสตรีทั้งหลาย ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านมีสติปัญญาและความสามารถในการตัดสินอย่างถูกต้องในกรณีนี้โดยการแยกแยะความจริงที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าผู้ทรงรักกับศาสนาที่เสแสร้ง
ท้ายที่สุดอีกครั้ง ข้าพเจ้าภาวนาว่าข้าพเจ้าจะไม่ทำการละเมิดต่อท่านในวิธีการเช่นนี้ในอันที่จะลดความเคารพลงไปต่อสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังพูดอยู่ ข้าพเจ้าไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อโจมตีท่านหรือทำร้ายท่านแม้ว่าในการนำเสนอของข้าพเจ้าจะเป็นแบบเผชิญหน้าข้าพเจ้าไม่ได้นำเสนอมันในความเกลียดชัง ข้าพเจ้าไม่มีความกังวลที่แท้จริงต่อชีวิตจิตวิญญาณของท่านและบางครั้งเมื่อท่านติดอยู่ในที่ที่ไม่มีทางออกในสังคมที่ท่านไม่สามารถจะมีเพื่อนอื่นนอกเหนือไปจากกรอบขอบเขตทัศนคติทางวัฒนธรรม
ที่สุดทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าขอจากท่านคือ ให้ท่านได้เปิดตนเองและเปิดใจต่อเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า ข้าพเจ้าทราบมาในครั้งแรกที่ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวเนื่องจากบุคคลที่อุทิศตนไม่ต้องการเป็นคนที่ไม่เป็นคนที่อุทิศตัวเนื่องจากสาเหตุจากตัวเขาเองแต่กระนั้น ข้าพเจ้าขอท้าทายท่านให้ขอพระเป็นเจ้าได้โปรดทรงเปิดเผยความรักของพระองค์ในหนทางที่จับต้องได้และเป็นจริงในบุคคลของพระเยซูเจ้า

นี่คือเวปไซต์บางอันที่อาจจะมีประโยชน์ในการค้นคว้าของท่าน

Bible

Four Laws

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

Islamic view of Women

สภาพความเป็นพระเป็นเจ้าของพระเยซูและอิสลาม

Thursday, October 23rd, 2014

เมื่อพิจารณาถึงสภาพความเป็นพระเป็นเจ้าของพระเยซูคริสต์ คนหนึ่งในตอนแรกต้องยอมรับก่อนอื่นว่าพระคัมภีร์เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้หรือไม่ ดังนั้นข้าพเจ้าได้เขียนบทความหนึ่งเกียวกับความน่าไว้วางใจของหนังสือพันธสัญญาใหม่จากการขยายดูเฉพาะในมุมมองของมุสลิม

มุมมองของอิสลามที่ว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเสื่อมลง

ในเรื่องนี้ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับพระธรรมชาติพระเป็นเจ้าของพระเยซูมันไม่เป็นอะไรที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลต้องกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ทำให้มีการโต้แย้งแต่มันเป็นมุมมองที่เข้าใจผิดต่อคัมภีร์อัลกุรอาน 5:116 ในการบอกเป็นนัยว่าคริสตชนเชื่อว่าพระตรีเอกภาพคือ อาเลาะห์ พระเยซู และ พระนางมารี ความคิดซึ่งไม่ใช่ทั้งพระคัมภีร์ไบเบิ้ล คริสต์นิกายออโธดอกส์ ไม่เคยสนับสนุนเช่นนี้เลย รูปแบบของพระตรีเอกภาพนิยมโดยเสมอตลอดมาคือ พระบิดา พระบุตรและพระจิต ถ้าท่านสนใจในความเข้าใจมากกว่าเกี่ยวกับการอุปมาอุปมัย หรือ การใช้สัญญลักษณ์ในคำทางพระคัมภีร์ “พระบิดา” และ “พระบุตร” ข้าพเจ้าได้เขียนในอีกข้อความที่ลงไปอีกที่หนึ่งซึ่งช่วยอธิบายความคิดรวบยอดของความสัมพันธ์เหล่านี้

พระเยซูเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า

นอกจากนั้นถ้าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นข้อความแห่งความจริงที่ถูกต้องในฐานะที่ได้รับการดลใจ ดังนั้นคำพูดของพระเยซูและพระวรสารรวบรวมเกี่ยวกับพระธรรมชาติพระเป็นเจ้าของพระองค์ ในตอนแรกมันอาจจะไม่ปรากฎชัดเจนต่อผู้สังเกตุโดยบังเอิญหรือสำหรับคนที่สงสัยในเรื่องนี้แต่ความคิดในการเป็นแมสซีอาห์ (พระผู้ไถ่) ซึ่งเป็นสิ่งที่มุสลิมยอมรับโดยทันทีก็ไม่ใช่ โดยขัดแย้งกันในตัวมันเอง พระเยซูไม่พูดออกมาตรง ๆ และกล่าวเกี่ยวกับพระธรรมชาติพระเป็นเจ้าของพระผู้ไถ่ แต่พระองค์บอกว่า พระองค์ทรงทำหน้าที่นั้น มธ 11:2-6 มากกว่านั้นพระองค์ยังได้ต่อต้านการที่คนอื่น ๆ อยากให้พระองค์เป็นกษัตริย์ ยอห์น 6:14-15 และการปฏิเสธความคิดเช่นนั้นในแง่ของการเป็นกษัตริย์ในทางโลกโดยระบุว่าพระอาณาจักรของพระองค์ไม่ได้อยู่ในโลกนี้หรือในระบบของโลก ยอห์น 18:36-37 มันไม่เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งถึงการไต่สวนของพระองค์ ต่อหน้าศัตรูของพระองค์ที่พระองค์บอกตรง ๆ แต่ก็ลังเลในการยอมรับต่อพวกเขาว่าพระองค์คือพระคริสต์ หรือ พระแมสซีอา ลูกา 22:66-71 มากกว่านั้นแม้ว่าจอห์นแบบติสต์มาลงเตรียมหนทางของพระเจ้า พระเยซูเองไม่ได้ไปรณรงค์ในการเทศน์ในการสนับสนุนสภาวะพระเป็นเจ้าของพระองค์แต่ไปทำภารกิจหลักของพระองค์ ณ จุดนี้โดยให้การรับใช้อย่างสุภาพและไม่ได้มาเพื่อรับการรับใช้ มธ 20:28 มันเป็นเพียงความเงียบในบทสนทนาส่วนตัวซึ่งพระองค์ได้ทรงเปิดเผยพระองค์เองกับเหล่าสาวกที่เลื่อมใสเกี่ยวกับพระธรรมชาติพระเป็นเจ้าของพระองค์ และแม้แต่ที่นั่นพระองค์ยังไม่ทรงเต็มใจที่จะพูดโพล่งออกมาแต่พระองค์ทรงได้ถามในคำถามปลายเปิดว่าคนเขาคิดว่าพระองค์เป็นพระเยซูแต่ไม่ต้องการให้พวกเขาขึ้นอยู่กับพระจักษ์พยานแบบมนุษย์เท่านั้นแต่ยังมีตัวแทนจากพระเป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรและพระจิตในการเปิดเผยความจริงนี้ มธ 16:13-20 ยอห์น 16:13 ที่สุดพระองค์บอกพวกเขาว่าอย่าได้กล่าวถึงเรื่องนี้ให้กับใครในเวลานั้น

มันอาจจะดูแปลกหูว่าพระเยซูเลี่ยงในสิ่งที่พระองค์ลงมาไขแสดงเกี่ยวกับตัวพระองค์เองแต่พระองค์ทำเพียงเพื่อซ่อนมันจากผู้ที่ประกาศตนเป็นศัตรูของพระองค์จนถึงเวลาของพระองค์บนลูกนี้ได้เสร็จสมบูรณ์ไป เป็นพิเศษในเมื่อพระองค์ต้องกล่าวก็ไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างต่อพวกเขาแต่อย่างใด เพราะมันก็จะกลับกลายเป็นการนำมาต่อต้านต่อพระองค์เอง ในเมื่อพวกเขาได้ปฏิเสธประจักษ์พยานและมุ่งแต่จะจับผิดและความผิดที่เกี่ยวพระองค์อื่น ๆ นอกเหนือจากความจริง ดังนั้นการเปิดเผยความรู้นี้ได้ถูกสงวนไว้เฉพาะกับความจริงของพระองค์หรือสาวกที่แท้จริงในขณะที่มันยังคงซ่อนจากสายตาของผู้ที่ไม่เชื่อดังที่พระเป็นเจ้า พระจิตเจ้าที่ได้ปิดตาและทำให้พวกเขาหูหนวกในขณะทิ่ได้เปิดตาและหูของผู้ที่มีความเชื่อเพื่อจะได้ได้ยินและเห็นความจริงที่พระองค์ทรงเลี่ยงที่จะ ซ่อนไข่มุกจากหมู่ป่าและสุนัขที่ไม่สะอาด โดยทางอ้อมเรื่องราวทั้งหมดนี้มีการยืนยันความจริงของพระคัมภีร์ในที่ซึ่งถ้าคริสตชนต้องการจริง ๆ ที่จะใช้ถ้อยคำพระคัมภีร์มาพิสูจน์สภาวะพระเป็นเจ้าของพระเยซูเขาคงทำได้ดีกว่านี้ในบทความต่าง ๆ มากกว่าพระวรสารเช่นนี้ ตอนนี้ให้เรามองดูและเห็นว่าพระวรสารแสดงถึงธรรมชาติแท้จริงของพระเยซูจริง ๆ ที่แสดงถึงแก่นแท้พระธรรมชาติพระเป็นเจ้าโดยอิงจากพระวาจาและกิจการของพระเยซูและอัครสาวกของพระองค์

เพื่อเริ่มต้นดูที่พระเยซูที่ใช้กับตัวพระองค์เองในการใช้ชื่อของพระเป็นเจ้าสำหรับตัวพระองค์ที่กล่าวในหนังสือฮีบรูหรือโตราห์ว่า “ฉันเป็น” จอห์น 8:58

พระองค์ยังได้กล่าวถึงตัวพระองค์เป็นดังผู้พิพากษามนุษย์ทั้งหมด มธ 25:31-46

พระองค์ได้รับการสักการะโดยอิสระในหลาย ๆ โอกาสโดยไม่มีการว่ากล่าวจากคนอื่น

ยอห์น 9:38
38 พระองค์กล่าวว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าเชื่อ “ และ เขาได้นมัสการพระองค์

มัทธิว 14:33
33 และผู้ที่อยู่ในเรือได้นมัสการพระองค์กล่าวว่า “แท้ที่จริงแล้ว พระองค์เป็นบุตรของพระเป็นเจ้า”

มัทธิว 28:9-10
9ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทั้งสองคน ตรัสว่า ‘สวัสดี’ ทั้งสองคนจึงเข้าไปใกล้กอดพระบาทนมัสการพระองค์ 10แล้วพระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘อย่ากลัวเลย   จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเราให้ไปยังแคว้นกาลิลี เขาจะพบเราที่นั่น’

มัทธิว 28:16-20
16บรรดาศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคนได้ไปยังแคว้นกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูเจ้าทรงกำหนดไว้ 17เมื่อเขาเห็นพระองค์ ก็กราบนมัสการ แต่บางคนยังสงสัยอยู่ 18พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ ตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า ‘พระเจ้าทรงมอบอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดในสวรรค์และบนแผ่นดินให้แก่เรา 19เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา  ทำพิธีล้างบาปให้เขาเดชะพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต 20จงสอนเขาให้ปฏิบัติตามคำสั่งทุกข้อที่เราได้ให้แก่ท่านแล้วจงทราบเถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอด ไปตราบจนสิ้นพิภพ’

พระองค์ยืนยันว่ามีอำนาจในการอภัยบาปใน มาร์โก 2:1-12 และในลูกา 7:40-50.

พระองค์ประกาศถึงการดำรงอยู่ของพระองค์มาก่อนและอ้างถึงพระสิริมงคลของพระองค์ก่อนที่โลกจะเกิดมา

ยอห์น 16:28
28เรามาจากพระบิดา เข้ามาในโลกนี้บัดนี้ เรากำลังจะละโลกนี้กลับไปเฝ้าพระบิดาอีก’

ยอห์น 17:5
5บัดนี้ พระบิดาเจ้าข้า โปรดประทานพระสิริรุ่งโรจน์แก่ข้าพเจ้าพระสิริรุ่งโรจน์ที่ข้าพเจ้าเคยมีร่วมกับพระองค์ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก

พระเยซูเรียกพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งวันสะบาโตและเป็นพระเจ้าของกษัตริย์ดาวิดในมารโก2:28, และมัทธิว 22:41-45 ในหลาย ๆ ตอนของความคิดเกี่ยวกับการเป็นพระเจ้าภายในความคิดของชาวฮีบรูที่มีความคิดของพระเจ้าหรือความเป็นพระเป็นเจ้าที่มีคำว่าพระเจ้า และ พระเป็นเจ้าที่ใช้บ่อยครั้งในแบบที่เหมือนกันหรือแลกเปลี่ยนกันได้ ในพระคัมภีร์โดยตลอดที่พบในหนังสือเซฟตัวจินกรีก และเช่นดียวกับหนังสือ ฮีบรู ทานาคา เช่นกันสำหรับออโธด๊อกซ์ยิวเมื่ออ่านพระวรสารเขาจะใช้คำว่าอาโดนัย (พระเจ้า) แทนเมื่อกล่าวถึงพระเป็นเจ้า

มาร์โก 2:28
28 “ดังนั้นบุตรแห่งมนุษย์ก็เป็นพระเจ้าเหนือวันสะบาโตด้วย“

มัทธิว 22:41-45
41ขณะที่ชาวฟาริสีมาชุมนุมกัน พระเยซูเจ้าทรงถามว่า 42’ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับพระคริสตเจ้า? พระองค์ทรงเป็นโอรสของใคร?’   ชาวฟาริสีทูลตอบว่า    ‘เป็น โอรสของกษัตริย์ดาวิด’ 43พระองค์จึงตรัสว่า  ‘ถ้าเช่นนั้น เพราะเหตุใด  เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงได้รับการดลใจจากพระจิตเจ้า     จึง เรียกพระ-คริสต์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า และตรัสว่า 44″องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสแก่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า เชิญประทับเบื้องขวาของเรา จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านอยู่ใต้พระบาทของท่าน” 45’ถ้ากษัตริย์ดาวิดทรงเรียกพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระคริสต์จะทรงเป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิด ได้อย่างไร?’

มัทธิว 7:21-23
21’มิใช่ทุกคนที่กล่าวแก่เราว่า “พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า” จะเข้าอาณาจักรสวรรค์    แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าได้ 22ในวันนั้น หลายคนจะกล่าวแก่เราว่า “พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า  ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามของพระองค์ ขับไล่ปิศาจในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการอัศจรรย์มากมายในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ?” 23เมื่อนั้น เราจะกล่าวแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้กระทำความชั่วจงไปให้พ้นหน้าเรา’

ยอห์น 13:13
13ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ

ตามจาก พระวรสารโดยยอห์นบทที่ 1พระเยซูได้ถูกกล่าวว่าเป็นพระเป็นเจ้า โดยดำรงอยู่ก่อนในสภาพแห่งพระสิริมงคลของพระองค์ในขณะที่สร้างโลก

พระเยซูโดยการลดการเผยตัวของพระองค์ในเวลาต่าง ๆ นั้นก็ไม่ได้ปฏิบัติในแบบเป็นสูญญากาศโดยสิ้นเชิงในการหลีกหนีจากสภาพพระเป็นเจ้าของพระองค์ต่อหน้าศัตรูขอพระองค์ ผู้ซึ่งในเวลานั้นได้ปลุกกระแสที่จะกล่าวร้ายต่อพระองค์ ในการที่พระองค์ทรงกล่าวอ้างที่ดูหมิ่นศาสนาในการยืนยันว่ามีความเท่าเทียมกับพระเป็นเจ้า ยอห์น 5:17-18, มาระโก 2:5-7.

ที่สุด จากพระวรสาร พระเยซูมีความเป็นประกาศกหรือมนุษย์ในสิ่งที่พระองค์และคนอื่นกล่าวถึงพระองค์ซึ่งอยู่โพ้นจากข้อจำกัดของความเป็นมนุษย์ ดังนั้นในคำถามที่แล้วที่ถามท่านว่าถ้าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นที่ไว้วางใจได้ดังนั้นท่านต้องพิจารณาอย่างจริงจังถึงคำพูดต่าง ๆ เหล่านี้ว่าเป็นการยืนยันความถูกต้องถึงความเป็นพระเป็นเจ้าของพระเยซูและไม่เป็นเพียงปล่อยแค่นั้นเนื่องจากมันไม่เข้ากับมุมมองทางโลกต่อศาสนาของท่านว่าเป็นสิ่งที่ผิดหากพยายามปฏิเสธว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลแม้แต่จะทำการอ้างเช่นนั้น มิฉะนั้นท่านอาจพบตัวท่านเองไม่แตกต่างจากสิ่งที่ผิดพลาดที่อันเป็นลักษณะของคนที่ดื้อดึงทางศาสนาของจีซัส เดย์ ผู้ที่ปฏิเสธพระเยซูว่าเป็นพระแมสซีอาและเช่นกันกับการมาสั้น ๆ เป็นพระแมสซีอาในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่แตกต่างจากการเชื่อและการไว้วางใจในประจักษ์พยานต่อพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และประจักษ์พยายานของพระเยซูว่าเป็นพระวจนารถของพระเป็นเจ้า ยอห์น 1, มัทธิว 7:24-27

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

The Divinity of Jesus and Islam

 

 

Permission granted by David Woods for excerpts taken from the article on “ Muhammad and the Messiah” in the Christian Research Journal Vol.35/No.5/2012

อิสลามและสันติภาพ

Thursday, October 23rd, 2014

หลายครั้งข้าพเจ้าได้ยินจากเพื่อนมุสลิมว่าอิสลามเป็นศาสนาที่มีความอดทนรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นหรือรักสันติและมีเพียงบางกลุ่มที่หัวรุนแรงเท่านั้นที่ทำให้อิสลามเสียชื่อ แต่นั่นยังมีที่ภายใต้ชื่อของอิสลาม ในช่วงสิบสี่ศตวรรษที่ผ่านมาก็มีคนมากกว่า 270 ล้านที่ถูกสังหารและตั้งแต่เหตุการณ์ 911 ที่มีผู้ก่อการร้ายประมาณ 20,000 คนที่โจมตีไปทั่วโลก ความรุนแรงเช่นนี้สะท้อนถึงคุณค่าของอิสลามที่อยู่รอบ ๆ ความคิดเช่น จีฮัด และ การพลีชีพเพื่อศาสนาซึ่งกระตุ้นยั่วยุและนำไปสู่ความรุนแรง ความเกลียดชัง และความก้าวร้าวเช่นนั้นที่เป็นการแสดงออกถูกต้องตามกฎหมายตามความหมายของความเชื่อของอิสลาม   ทั้งในปัจจุบันและต่อจากนี้ อิสลามที่ใช้กำลังและการบังคับที่ได้ครอบครองชาติต่าง ๆ ทำให้พวกเขาตกเป็นเชลย โดยความหวาดกลัวและการขู่เข็ญเพื่อเป็นการธำรงการควบคุมด้านจิตใจด้วยความคิดที่เอาชนะ  ดังนั้นสำหรับผู้ที่ติดตามเช่นนั้นที่นับถือให้เกียรติอัลเลาะห์ของคัมภีร์อัลกุรอานในการนำเอาบทบัญญัติทางประวัติศาสตร์ของอิสลามเหล่านี้ไปปฏิบัติ ซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถวิจารณ์พวกเขาจากพื้นฐานที่พวกเขายอมมอบความนบนอบอย่างจริงใจในฐานะผู้ที่มีความศรัทธาต่อคำสั่งสอนต่าง ๆ หรือต่อมุสลิมอื่น ๆ ที่ยอมรับแบบไม่มีปฏิกริยาใด ๆ หรือเป็นพวกปกติที่รักสันติ ในฐานะที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิบัติที่แท้จริงของอิสลามในสิ่งที่เปิดเผยในซูเราะห์ : อัลกุรอาน 9:29 , 9:73, 9:123 โดยแก่นแท้แล้วจากเทวศาสตร์อิสลาม มันมีการยืนยันทางเหตุผลว่าอัลเลาะห์ได้ทรงอนุญาตให้ทำการโจมตีของผู้ก่อการร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วมันต้องเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ ใช่ไหม? ดังนั้นเพื่อจะต่อต้านการต่อสู้กับคนต่างศาสนาอาจจะเป็นการถอนหรือปฏิเสธแผนการณ์อันสมบูรณ์ของอัลเลาะห์ แม้แต่กระนั้นข้าพเจ้าประนามการกระทำเหล่านี้ที่มันเป็นการยากที่จะเห็นว่าพวกเขาประพฤติตามคัมภีร์อัลกุรอานดังนั้นข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นมีเหตุผลที่จะถามตัวท่านเองว่า ถ้าท่านอ้างว่าท่านเป็นมุสลิมแต่ไม่ยอมรับข้อความเหล่านี้ นั่นคือบางทีท่านอาจจะไม่ใช่ผู้ที่มีความเชื่อที่แท้จริงหรือถูกต้องโดยการปฏิเสธข้อความบางข้อความที่พบในคัมภีร์อัลกุรอาน มากกว่านั้นการเลือกที่จะใช้เพียงแต่บางข้อความของซูเราะห์ซึ่งเข้ากับอุดมการณ์ทางศาสนาของพวกท่านเท่านั้น ซึ่งโดยแก่นแท้แล้ว เพื่อให้เป็นคำจำกัดความใหม่และแม้แต่คำถามของความเชื่ออิสลามในฐานะที่เป็นการแยกตัวออกมาเพื่อพัฒนามุมมองศาสนาใหม่ทางโลกของท่าน คัมภีร์อัลกุรอาน33:36. มากกว่านั้นเพื่อยืนยันว่าอิสลามเป็นศาสนาที่รักสงบสันติและไม่มีการต่อต้านการกระทำการก่อการร้ายเช่นนั้นโดยยังคงเงียบอยู่กลับกลายเป็นรูปแบบของการตกลงและยินยอมอนุญาตให้กับการกระทำที่เลวทรามเหล่านี้ผ่านการเกี่ยวดองกันก็เท่ากับว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมกระทำในอาชญากรรมต่อมนุษยชาตินี้ด้วย ถ้าท่านเชื่ออย่างจริงจังว่าไม่เห็นด้วยกับการก่อการร้ายนี้แล้วนั้นท่านจะต้องต่อต้านต่อกระบวนการนี้แม้แต่ในจุดแห่งอันตรายใช่ไหม? โชคไม่ดี แม้ว่ามุสลิมส่วนใหญ่เป็นพวกใฝ่สันติ มันมีปัจจัยจากผู้นำหัวรุนแรงของอิสลามที่นำเอาอิธิพลของวัฒนธรรมอิสลามมาใช้ ในเมื่อคนส่วนใหญ่จะถือตามกลุ่มการเคลื่อนไหวของตนและต่อต้านมุมมองที่แข่งขันกันทางโลก มากกว่านั้นการพยายามที่จะเข้าถึงปัญหานี้จากทางโลกเพื่อจะปฎิรูปอิสลามผ่านวิธีการทางประชาธิปไตยหรือทางการฑูตอันเป็นวิธีการทางตะวันตกในการทำธุรกิจซึ่งไม่ใช่หนทางทางธรรมประเพณีของอิสลาม ท่านอาจจะต่อต้านตั้งแต่แรกโดยการชี้ว่าคัมภีร์อัลกุรอานมีการติดต่อเป็นอย่างดีต่อคนอื่น ๆ ในคัมภีร์อัลกุรอาน2:256, 109 กระนั้นมันก็เป็นเพียงเพราะในช่วงแรกของการพัฒนามันไม่ได้อยู่ในความคิดที่จะปกป้องตนเองอย่างเต็มที่ในขณะที่มันได้เริ่มที่จะได้ความเข้มแข็งขึ้น ซูเราะห์นี้ได้กลับมายกเลิกโดยเห็นจากการแบ่งแยกของข้อความเหล่านี้เป็นสองฝ่ายซึ่งข้าพเจ้าได้อ้างอิงไว้ก่อนหน้านี้ว่าเป็นการส่งผ่านไปยังรูปแบบการประพฤติที่ก้าวร้าวมากยิ่งขึ้นเพื่อจะได้มีการควบคุม ถ้าจำเป็น ก็โดยผ่านทางดาบแห่งความรุนแรง การพัฒนาต่อการครอบครองของอิสลามนี้และอิธิพลอาจจะดูเหมือนว่าเป็นทฤษฎีการสมคบคิดอีกอันหนึ่งและทางประวัติศาสตร์แล้ว มันได้เกิดขึ้นและยังดำเนินต่อมาถึงทุกวันนี้โดยมีวาระที่เคลือบแฝงและพัฒนานำไปสู่ขั้นตอนต่าง ๆ มาสู่การก่อตั้งที่มั่นคงจนในที่สุด เมื่อเวลาผ่านไป การควบคุมอย่างสมบูรณ์ต่อสังคมผ่านการจัดตั้งกฎหมายอิสลามจนไปถึงการปราบปรามและโค่นล้มวัฒนธรรมเหล่านั้น รวมถึงเหล่าผู้ที่ไม่มีความเชื่อ สิ่งนี้บ่อยครั้งนำไปสู่การกดขี่และประหัดประหารคริสตชนและกลุ่มอื่น ๆ ด้วย ข้าพเจ้าสนับสนุนกลุ่มที่เรียกตนเองว่า เสียงแห่งผู้พลีชีพในศาสนา www.persecution.com ซึ่งเป็นองค์กรคริสตชนที่ช่วยและสงเคราะห์ผู้คนที่เป็นเหยื่อของการพลีชีพเพื่อศาสนา มีคริสตชนประมาณ 300,000 คนในแต่ละปีที่ตกภายใต้คำจำกัดความนี้ซึ่งอาจจะมากกว่า จากหลากหลายสาเหตุที่จากการสูญเสียงานอาชีพและทรัพย์สินจนถึงการถูกจองจำและแม้แต่เสียชีวิต ซึ่งนำข้าพเจ้ามาจุดต่อไปที่ว่ามุสลิมบ่อยครั้งจะไม่มีคงเส้นคงวาในการเน้นถึงการอ้างอิงถึงคัมภีร์อัลกุรอานที่ว่า “ไม่มีการบังคับในศาสนา” และนั่นยังเป็นการมองข้ามความจริงที่การที่สังคมอิสลามมีอำนาจมากกว่าที่พวกเขาได้เบียดเบียนผู้ที่ไม่เชื่อต่าง ๆ ในความพยายามที่จะบังคับให้พวกเขากลับใจผ่านสงครามศาสนา , การใช้กฎหมายในเรื่องการดูหมิ่นศาสนาในทางที่ผิด และ ภาษีศาสนาของจิสยาห์ในขณะที่พวกเขาถูกขจัดแยกออกและทำให้พวกเขาเป็นคนกลุ่มน้อยที่ไม่มีความสำคัญเป็นดังพลเมืองชั้นสองโดยได้รับการสนับสนุนจาก อีบิน คาที ในเรื่องนี้ในบทที่ 9:29 หลังจากที่ทุกคนที่เคยได้ยินถึงกลุ่มการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมของมุสลิมที่ได้ให้ความช่วยเหลือคนนอกรีตและที่พวกเขาห่วงคนและสังคมของตนเองเป็นหลักไม่ได้เป็นสิทธิในการช่วยเหลือคนอื่นต่อความเชื่อว่าตนเองอยู่สูงส่งกว่าคนอื่น ๆ ตามใน คัมภีร์อัลกุรอาน3:110,98:6 อย่างไรก็ตามได้มีคริสตศาสนาที่มีการก้าวย่างที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดต่อสิทธิมนุษยชนของคนอื่น ๆ ในการจัดตั้งและสถาปนาสถาบันต่าง ๆ เช่นโรงพยาบาล บ้านเด็กกำพร้า เช่นเดียวกับการช่วยเหลือมุสลิมชาวซีเรียเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ลี้ภัยในอิรักและผู้ที่ถูกละเลยโดยเพื่อนชาวมุสลิมของพวกเขาเอง

นอกจากนั้นการก้าวหน้าของอิสลามในสังคมหนึ่งเริ่มต้นโดยมันจะควบคุมเหมือนปรสิตของชาติเจ้าบ้านโดยการอพยพ การเกิด และการให้กองทุนเพื่อเอาชนะคนนอกรีตโดยวิธีการต่าง ๆ ของการถดถอยในการบังคับให้ศัตรูออกไปนอกพื้นที่โดยไม่ได้ใช้ความจริงแต่โดยใช้กำลังบังคับ กระบวนการทางอิสลามสามารถเกิดขึ้นได้แบบค่อยเป็นค่อยไปดังในตอนเริ่มต้นที่เป็นหลอกลวงซ่อนเร้นของทาควิยาอันเป็นวิธีการหรือหนทางสู่เป้าหมายนั้น ที่พบในคัมภีร์อัลกุรอาน3:28 โดยมีการซ่อนเจตนาที่แท้จริงของชุมชนอิสลามและได้รับการสนับสนุนจากคำวิจารณ์ของอีบิน คาทีร์และอาจจะพบเห็นในอเมริกาในทุกวันนี้และจากจุดการก้าวหน้าของอิธิพลของพวกเขานี้ต่อคำจำกัดความที่กว้างของสิ่งที่บัญญัติศัพท์เป็นจีฮัดที่ป้องกันในผู้ที่ให้ความคิดเห็นทางอิสลามที่ให้เหตุผลในการรวมคำวิพากษ์วิจารณ์ต่ออิสลามหรือโดยผู้ที่ไม่มีความเชื่อเช่นการเทศน์สอนศาลนาอื่นที่มิใช่อิสลามซึ่งมีการพรรณนามากกว่าของทางอัฟริกาเหนือและยุโรปในที่ซึ่งพวกเขาได้ควบคุมบ้างแล้ว ที่สุดการนำครั้งสุดท้ายไปยังจีฮัดที่น่ารังเกียจเพื่อความอยู่รอดและการเติบโตของอิสลามด้วยการควบคุมโดยสมบูรณ์ตามที่พบเห็นกันในรัฐอิสลามต่าง ๆ ที่ปกครองด้วยกฎ ชารีอา เมื่อกล่าวโดยเหน็บแนมแล้ว ภัยคุกคามเช่นนั้นที่แม้แต่ได้ดำเนินไปในระดับของสงครามศาสนาที่เกิดขึ้นท่ามกลางหลากหลายกลุ่มหรือนิกายต่าง ๆ แม้ว่าพวกเขาควรน่าจะร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวแบบพี่น้องภายใต้คำสอนร่วมกัน ดังนั้นความคิดทั้งหมดนี้ของการบังคับไม่ได้พิสูจน์ในระดับใด ๆ หรือไม่ได้แม้แต่จะมาใกล้เคียงกับ “ทฤษฎีทางสงครามที่ยุติธรรม” เลยด้วยซ้ำ เมื่อมันกลับกลายเป็นกองกำลังที่เหนือกว่า

ในที่สุดการควบคุมนี้จะได้ธำรงไว้ด้วยในท่ามกลางสมาชิกของตนเองเป็นดังการคุกคามที่จะฆ่าคนที่ละทิ้งศาสนาดังนั้นจึงไม่มีความรู้สึกที่แท้จริงของสิทธิส่วนบุคคลเลย อิสรภาพเป็นภาพลวงตาในที่ซึ่งกฎของอิสลามเป็นดังกฎที่ใช้ปกครองอยู่เป็นดังนโยบายที่สนับสนุนโดยครอบครัวรัฐบาลและคัมภีร์อัลกุรอาน

สรุปแล้ว ข้าพเจ้ารับทราบถึงข้อเท็จจริงว่ามีมุสลิมที่อดทนรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและเป็นฝ่ายรับ ผู้ที่โศรกเศร้าและเสียใจต่อความก้าวร้าวของผู้ที่ถือตามความเชื่อมุสลิมอย่างเคร่งครัด ข้าพเจ้าดีใจที่มีคนเหล่านั้นภายในชุมชนมุสลิมผู้ที่ไม่ทำตามหรือเชื่อในข้อการสั่งสอนอิสลามเหล่านั้น บางทีลงลึก ๆ ในใจของพวกเขามันมีการต่อต้านอยู่เงียบ ๆ ต่ออิสลามแต่เพราะความกลัวที่พวกเขาไม่สามารถที่จะเผชิญหน้าหรือพูดอะไรได้เนื่องจากความเป็นไปได้ที่จะต้องแยกตัวออกไปอันเกิดจากการต่อต้านของพวกเขาต่อการกระทำเหล่านั้น แม้แต่โดยจิตใต้สำนึกอาจจะมีการหลอกตัวเองซึ่งไม่อนุญาตให้พวกเขาได้พิจารณาถึงความเชื่อต่าง ๆ ของอิสลามอย่างจริงใจและถูกต้อง อย่างไรก็ตามในหัวใจของพวกเขาหรือมโนธรรมของมุสลิมเหล่านี้ได้ตัดออกจากภายในและจารึกอย่างถาวรที่จะมองเห็นถึงความหมายโดยมีนัยของศีลธรรมในการทำการฆาตรกรรมจนถึงข้อปฏิบัติและข้อผูกมัดอื่น ๆ ทางศาสนาของพวกเขา
ข้าพเจ้าเชื่อว่ามุสลิมซึ่งเดินสายกลางมากกว่าในมุมมองของพวกเขานอกเหนือไปจากคำสั่งสอนในคัมภีร์อัลกุรอานอันเป็นการตอบสนองต่อการกระทำที่ตอบสนองต่อการที่ได้เห็นความชั่วร้ายของคนที่ไร้ความปรานีในยุคร่วมสมัย เช่น ฮิตเลอร์ สตาลิน อีดีอามิน พลพต และ ฮิโรฮิโต และตกใจกลัวต่ออาชญกรรมที่โหดร้ายและเย่อหยิ่งที่น่ารังเกียจที่ก่อขึ้นโดยคนเหล่านี้ผู้ซึ่งทำพิธีกรรมในการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ซึ่งไม่แตกต่างจากคนที่ทำอาชญากรรมทางศาสนาภายใต้นามของอัลเลาะห์

แต่ก็ยังโชคไม่ดีที่มุสลิมบางคนไม่ได้มองเห็นผลงานของตนหรือรับผิดชอบในการทำลายล้างของพวกเขาต่อความเจ็บป่วยของสังคมมนุษย์ สิ่งนี้เตือนข้าพเจ้าถึงคำพูดของพระเยซูที่บอกถึงการเอาท่อนซุงออกจากตาตนเองก่อนที่จะเอาเศษผงออกจากตาของคนอื่น พวกเขาช่างตามืดบอดที่มาปิดกั้นสายตาของพวกเขาเองที่ไม่สามารถมองเห็นชัดเจนถึงธรรมชาติที่แท้จริงของปัญหาซึ่งเป็นในลักษณะแบบหน้าซื่อใจคดในกลุ่มกระบวนการของตน

ข้าพเจ้าเชื่อว่ามุสลิมที่ปกติแบบสายกลางนั้นโดยในสัณชาติญาณแล้วทราบว่าพวกเขาได้รับการสร้างขึ้นมาจากพระผู้สร้างที่ทรงรักผู้ปรารถนาที่จะส่งเสริมชีวิตและพระองค์ได้ให้ตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมแห่งความรักของพระองค์ผ่านการดูแลและเอาใจใส่จากมารดาโลกต่าง ๆ ถ้าพระเป็นเจ้าสร้างสิ่งที่จำกัดเหล่านี้พร้อมด้วยความรู้สึกที่จำกัดของความรักต่อมนุษยชาติ พระเป็นเจ้าทรงประทานความรักของพระองค์อย่างมากมายผ่านทางพระเยซูให้กับโลกโดยประทานพระองค์เองเป็นค่าไถ่หนี้บาปที่นำผลมาสู่ชีวิตนิรันดร์ พระเป็นเจ้าไม่ได้เอาชนะเราด้วยความเกลียดชังแต่ด้วยความรักซึ่งเป็นคำจำกัดความหรือลักษณะสุดสุดแท้จริงของความเป็นอยู่ของพระองค์

ที่สุดข้าพเจ้าต้องการขอบคุณสำหรับการอ่านบล๊อกนี้และข้าพเจ้าขอถามท่านให้ได้มีความคิดในการเข้าศึกษาในเรื่องของอิสลามนี้อย่างแท้จริงและแบบยั่วยุ หลังจากมุมมองเสรีนิยมมากขึ้นทั้งมวลนี้ที่เป็นการเปิดต่อการกลับมาพิจารณาระบบความเชื่อและความคิดในเชิงประวัติศาสตร์ของท่านที่ตรงข้ามกับสิทธิมนุษยชนและความศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิต ข้าพเจ้ายังจะขอถามต่อไปอีกว่าท่านควรมีความกล้าหาญเพียงพอที่จะยอมรับความจริงถ้ามันหมายถึงการปฏิเสธสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของตัวตนของท่านเองรวมถึงคุณทางวัฒนธรรม สังคมซึ่งได้กำหนดมาให้ท่านปฏิบัติมาโดยตลอด 
ผลที่ติดตามมา มีระดับของความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่สูงกว่าซึ่งพระเป็นเจ้าได้กำหนดไว้ในศาสนาในท้ายที่สุด ศาสนาซึ่งสามารถพรรณนาในท้ายที่สุดว่าเป็นความสัมพันธ์ของความรักที่เสียสละ ความรักนี้เริ่มต้นที่พระเยซูและขยายผ่านแขนขาของอัครสาวกของพระองค์ซึ่งได้ไปยังทั่วโลกในการปลอบประโลมมนุษย์ที่ทนทุกข์ มันเป็นความรักที่มีเกียรติเพราะมันไม่ได้เป็นการรับใช้ตนเองและแม้ว่าความรักนี้ไม่ได้ตอบแทนให้กับคนอื่น ๆ พวกเขารักต่อไปแม้ว่าถ้ามันจะหมายถึงการให้อภัยและรักศัตรูของพวกเขาโดยการหันแก้มให้เขาอีกข้าง

สหายที่รัก มีวิธีการที่ดีกว่าและพระเยซูระบุว่าเป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้น หนทางที่นำไปสู่ชีวิตและไม่ใช่ความตาย ความรักแทนที่ความกลัว ความเกลียดชัง ความโกรธและการเข่นฆ่า สำหรับพระเป็นเจ้าที่ทรงรักโลกมากจนพระองค์ประทานพระเยซูและใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศไปแต่ได้รับชีวิตนิรันดร

 

 

ลิงค์เกี่ยวข้องอื่น ๆ

วิธีการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

แหล่งข้อมูลของชาวอิสลามและมุสลิม

ภาษาไทย

Islam and Peace

 

 

Permission granted by David Woods for excerpts taken from the article on “Jihad, Jizya, and Just War Theory” in the Christian Research Journal Vol.36/No.1/2013
Permission granted by David Woods for excerpts taken from the article on “ Muhammad and the Messiah” in the Christian Research Journal Vol.35/No.5/2012